'เจ้าสัว' (หุ้น CHAO) เผยราคาไอพีโอ 11.8 บาท เปิดจอง 1-3 ก.ค. 67

'เจ้าสัว' (หุ้น CHAO) เผยราคาไอพีโอ 11.8 บาท เปิดจอง 1-3 ก.ค. 67

บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) ตั้งผู้จัดจำหนายหุ้น ขาย IPO ที่ 11.80 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อตั้งแต่ 1-3 ก.ค. 67 นี้ เพื่อนำเงินลงทุนสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 ขยายกำลังการผลิต-ลงทุนระบบปฏิบัติการอัตโนมัติชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินหมุนเวียน

บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ พร้อมแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญอีก 5 ราย ประกอบด้วย 1) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด 2) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 3) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 4) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และ 5) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า CHAO ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 11.80 บาทต่อหุ้น และจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 1 – 3 กรกฎาคม 2567

ทั้งนี้ CHAO ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ฯ จากสำนักงาน ก.ล.ต. ปัจจุบันแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) มีผลใช้บังคับแล้ว โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 87.7 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 29.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ 

ด้านนางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  CHAO เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศดังนี้ 

1) ก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 รวมทั้งลงทุนซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อรองรับการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์ภายใต้โรงงานโฮลซัม ประมาณ 2,000 ตันต่อปี รองรับการขยายตลาดส่งออกในต่างประเทศในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่เนื้อหมู (Non-Pork) 

2) ขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้โรงงานโฮลซัม โดยเพิ่มกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์ประมาณ 770 ตันต่อปี และเพิ่มกำลังการผลิตข้าวตังดิบประมาณ 600 ตันต่อปี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากเนื้อสัตว์ทะเลประมาณ 600 ตันต่อปี 

3) พัฒนาระบบอัตโนมัติ (Automation) และการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) ในการผลิต และช่วยลดจำนวนพนักงานฝ่ายผลิต อาทิ เครื่องบรรจุอัตโนมัติ (Autopack) เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาโปรแกรมสำหรับจัดการทางด้านคำสั่งซื้อขายและระบบโลจิสติกส์ และพัฒนาไลน์การผลิตสินค้าแครกเกอร์ธัญพืชให้เป็นแบบอัตโนมัติทั้งไลน์สำหรับโรงงานโฮลซัม และระบบตู้อบต่อเนื่องสำหรับสินค้าหมูแท่งสำหรับโรงงานเจ้าสัว

4) ขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้โรงงานเจ้าสัวและคลังสินค้า โดยเพิ่มกำลังการผลิตขนมขบเคี้ยวข้าวตังภายใต้โรงงานเจ้าสัว ประมาณ 870 ตันต่อปี และเพิ่มกำลังการผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป 125 ตันต่อปี รวมถึงเพิ่มชั้นวางวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่าย และพัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Warehouse Automation & Racking) เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บสินค้า ประมาณ 2.5 เท่าจากระบบ Racking ในปัจจุบัน 

5) ลงทุนโครงการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 1, 2 และคลังวัตถุดิบ เพื่อช่วยประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งปรับปรุงระบบความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทขยายโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 และขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตในต่างประเทศ โดยปัจจุบันวางจำหน่ายสินค้าในห้างค้าปลีกชั้นนำในประเทศต่างๆ กว่า 12 ประเทศ มีตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และออสเตรเลีย เป็นต้น 

อีกทั้งมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว (Snack) ที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่สูง พร้อมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต 

โดยรายได้จากการส่งออกในปี 2564, 2565 และ 2566 อยู่ที่ 216.2 ล้านบาท 343.6 ล้านบาท และ 413.3 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบเฉลี่ยที่ 38.26% จากการเริ่มส่งออกขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากหนังปลาไปยังประเทศจีน รวมถึงมีการส่งออกผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ธัญพืช ภายใต้แบรนด์ "โฮลซัม (Wholesome)" ให้กับห้างสรรพสินค้าที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมากในต่างประเทศ