SAMART จ่ายหนี้คดีเอเชียนเกมส์ 130 ล้าน จากยอดรวม 718.6 ล้านที่รอเจรจาขอผ่อน
SAMART วางเงิน ณ สนง.บังคับคดี 130 ล้าน เมื่อ 25 มิ.ย. 67 จากคดีเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 หลังศาลสั่งชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 718.6 ล้าน เผยน้อมรับคำตัดสินแต่ขอเจรจาเจ้าหนี้หวังผ่อนจ่าย 7 ปีในส่วนที่เหลือ ส่วนในทางบัญชีมั่นใจไม่กระทบงบเพราะตั้งสำรองใน Q1/67 แล้ว 438.4 ล้าน
นายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า จากกรณีที่บริษัทถูกฟ้องโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (BAGOC) เนื่องจากบริษัทมีส่วนร่วมในการให้การสนับสนุนด้านการเงินและการติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคมให้กับคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซียนเกมส์เมื่อปี 2540
ทว่ายังมีส่วนค้างชำระการสนับสนุนการเงินอยู่จำนวน 190,000,000 บาท เพราะบริษัทประสบปัญหาทางการเงินจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของประเทศในปีดังกล่าว จึงได้เจรจาขอยกเลิกข้อตกลงการให้การสนับสนุนค้านการเงิน แต่ก็ไม่ได้รับการยินยอมจาก BAGOC
ซึ่งต่อมาทั้ง BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการตามกฎหมายเป็นคดีความทางแพ่งกระทั่งมีคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 67/2556 เป็นเงินจำนวน 331,797,360.27 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 190,000,000 บาท ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันเสนอข้อพิพาท (ถัดจากวันที่ 21 ตุลาคม 2553) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
คำนวณภาระหนี้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาบริษัทจะต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 718,694,520.55 บาท
ทั้งนี้บริษัทน้อมรับคำตัดสินของศาลฎีกาและคณะอนุญาโตตุลาการ และพร้อมจะชำระคืนหนี้เงินต้นทั้งจำนวน 190,000,000 บาทให้แก่ BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยในทันที
และในส่วนของดอกเบี้ยจำนวนเงิน 528,694.520.55 บาทนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขอผ่อนผัน โดยบริษัทเสนอผ่อนชำระเป็นงดรายปีให้ครบถ้วนแล้วเสร็จภายในเวลา 7 ปี
ทั้งนี้ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์และความประสงค์ที่จะชำระหนี้ให้แก่ BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยอย่างจริงใจ บริษัทได้นำเงินไปวางทรัพย์ไว้ ณ สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 เพื่อชำระหนี้เงินต้นทั้งจำนวน 190,000,000 บาท และชำระดอกเบี้ยบางส่วนจำนวน 40,000,000 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567
อีกทั้งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการตั้งสำรองไปแล้วส่วนใหญ่ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ได้มีการบันทึกประมาณการหนี้สินระยะยาวสำหรับข้อพิพาททางกฎหมายนี้ไปแล้วรวมเป็นจำนวน 438,470,548 บาท โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและการดำเนินงานของบริษัท