เปิดพอร์ต‘รายใหญ่’ กำไรโต ลุ้นครึ่งหลังหุ้นไทยฟื้น ‘รัฐกระตุุ้น-ต่างชาติหยุดขาย’
เปิดพอร์ต‘รายใหญ่’กำไรโต ลุ้นครึ่งหลังหุ้นไทยฟื้น ‘รัฐกระตุุ้น-ต่างชาติหยุดขาย’ เผย “กองทุนประหยัดภาษี” เชื่อสามารถกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวเด้งขึ้นมาได้
ตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกปี 2567 ดัชนี SET INDEX เป็น “ขาลง” ต่อเนื่อง สะท้อนผ่านครึ่งแรกสร้าง “ผลตอบแทน” (รีเทิร์น) ให้นักลงทุนอยู่ที่ “ติดลบ6.67%” (28 มิ.ย.) เท่ากับว่าลงทุนในตลาดหุ้นครึ่งปีแรกผลเป็น “ลบ” สะท้อนผ่านดัชนีหุ้นไทยปรับลงมา “จุดต่ำสุด” (New Low) ในครึ่งแรกปี 2567 ระดับ 1,296.59 จุด (17 มิ.ย.2567) และทำ “จุดสูงสุด” (New High) ระดับ 1,434.59 จุด (4 ม.ค.2567) และเมื่อ “กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามนักลงทุน “3 รายใหญ่” ระดับแนวหน้า ต่างพากัน “เก็บกำไร” เข้ากระเป๋าไม่น้อย !!
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนรายใหญ่เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” มีมุมมองการลงทุน “ตลาดหุ้นไทย” ครึ่งหลังปี 2567 ว่า ยังคงมีความ “คาดหวัง” ให้หุ้นปรับตัวกลับมาขึ้นได้อีก จากสาเหตุเดิมและนโยบายเดิม ๆ ที่หลายคนรอคอยในช่วงครึ่งหลัง จากที่ครึ่งแรกยังไม่เกิดหรือเกิดขึ้นมาไม่ทัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความคาดการณ์ได้ “ยาก” จากปัจจัยทางการเมืองที่คาดการณ์จากประเด็นดังกล่าวไม่ค่อยได้มากนัก เพราะว่าล้วนแล้วมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามากระทบค่อนข้างเยอะ หากเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีกฎกติกาที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งนี้ปัญหาทางการเมืองยังคงมีปัญหาเรื่องโครงสร้างค่อนข้างมาก
ส่วน “เศรษฐกิจไทย” ครึ่งหลังยังคงคาดหวังจะกลับมาดีขึ้น จากปัจจัยหนุนทั้ง “การปรับลดอัตราดอกเบี้ย” อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังมองว่าความไม่แน่นอนก็ยังมี เนื่องจาก “ธนาคารแห่งประเทศไทย” (ธปท.) ยังมี “จุดยืน” หนักแน่น ที่ไม่อยากจะเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจ
ขณะที่บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ยังเป็นโครงสร้างบริษัทอุตสาหกรรมเก่าๆ ที่นับจะมีการลดขนาดลง ส่วนเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในไทยก็ยังไม่มีเกิดขึ้นมา จากบริษัทใหญ่เพราะเศรษฐกิจใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากบริษัทขนาดใหญ่ หรือเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศที่จะเข้ามาช่วยผลักดัน ซึ่งในเมืองไทยยังคงขาดแคลน “กลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทค” หรือ “ดิจิทัล” ที่เป็นอนาคต
ส่วนการกระตุ้นกองทุนประหยัดภาษีให้แก่นักลงทุนมองว่า สามารถกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวเด้งขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่กลัวคือ จะทำให้ไม่เกิดความยั่งยืน เนื่องจากเป็นปัจจัยช่วงคราว หรือเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ ไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่มาก แต่สิ่งที่ต้องคิดและเป็นประเด็นใหญ่คือ จะหาทางแก้ไขได้อย่างไร เนื่องจากตลาดหุ้นไทยประสบปัญหามาค่อนข้างนานแล้ว
แม้แต่ “โครงการดิจิทัลวอลเล็ต” หากเกิดขึ้นจริงก็สามารถทำให้หุ้นกลับมาปรับตัวขึ้นได้ แต่ยังคงมีความไม่ชัดเจนว่าโครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ แต่ก็คาดว่าเป็นคงเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นในระยะสั้น ๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่ปัจจัยไม่ได้ช่วยหนุนรับต่อให้อยู่ได้ในระยะยาว
“ทิวา ชินธาดาพงศ์” นักลงทุน “วีไอ” กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก ถือเป็นช่วงปรับฐานจาก “จีดีพีไทย” ไตรมาส 1 ปี 2567 ตัวเลขการเติบโตยังน้อยซึ่งมีเหตุผลจากรัฐเบิกจ่ายงบล่าช้า และปัญหาของตลาดหุ้นไทยต่อ “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุน ในกรณี
บมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) และ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ต่างชาติขายต่อเนื่องในปีนี้แล้วกว่าแสนล้านบาท และในช่วง 10 ปี ขายกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือว่าขายไปมากพอสมควรแล้ว
ล่าสุด จบครึ่งแรกการที่ 3 หน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมาขับเคลื่อนตลาดทุนไทยพร้อมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนไทย เห็นภาพระยะยาวเรื่อง “ออมเงิน” และจัดการเรื่องความโปร่งใสให้ “ถูกทีถูกทาง” ดังนั้น ใช้ยาแรงแล้วยังไงก็ต้องดีขึ้น หากยังไม่ดีต้องฉีดยาต่อ
ทั้งกองทุน ThaiESG ที่ปรับเงื่อนไขดีขึ้นมาใกล้เคียงกับ “กองทุน LTF” และยังมีกองทุนอื่นๆ ที่จะตามมา เช่น กองทุนวายุภักษ์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของภาครัฐที่เข้ามาแก้ปัญหาสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและยกระดับตลาดหุ้นไทย มีความชัดเจนขึ้น เช่น มาตรการอัปติ๊ก เริ่ม 1 ก.ค.
รวมทั้ง มาตรการภาครัฐยังเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐยังต่อเนื่อง หนุนเศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่อเนื่อง ซึ่งคาดหวังจีดีพีรายไตรมาสเติบโตมากกว่าไตรมาส 1 ปีนี้ ทำให้กำไรบจ. มีโอกาสกลับมาเติบโตอย่างเห็นความ “แตกต่าง” จากปีก่อนหรือฟื้นได้ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนๆ โดยไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังอีก
สารพัดปัจจัยกล่าวนับเป็น “เซนติเมนต์เชิงบวก” ที่เข้ามาหนุนฝั่งแรงซื้อในตลาดหุ้นไทยครึ่งหลัง โดยมองว่าดาวน์ไซด์จำกัดแล้ว และดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นเป็น V-Shape ได้ และหากช่วงต้นสัปดาห์นี้ ปัจจัยการเมืองไทยไม่ได้สร้างความเสี่ยงใหม่เพิ่มเติม ซึ่งน่าจะเป็นจุดตัดสินใจให้นักลงทุนต่างชาติ เริ่มหยุดขายหรือกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยได้ โดยมองกรอบดัชนีสิ้นปีนี้แนวต้าน 1,450 จุด แต่หากช่วงที่เหลือปีนี้หากมีมาตรการรัฐกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคได้ โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต “หมื่นบาท” ยิ่งช่วยหนุนหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะ 1,500 จุดได้
ขณะที่ “ผลตอบแทน” (รีเทิร์น) พอร์ตลงทุนหุ้นไทยครึ่งปีแรก “บวก 10%” โดยโชคดีที่เลือกลงทุนหุ้นถูกตัว และปกติตั้งเป้าหมายผลตอบแทนพอร์ตลงทุนระดับ 26% ต่อปี ซึ่งพยายามทำให้ได้ ขณะที่พอร์ตลงทุนอีกครึ่งส่วนหนึ่งเป็น “หุ้นจีน” สัดส่วนการลงทุนปรับขึ้นตามมูลค่าตลาดในแต่ละช่วงเวลา โดยหุ้นไทยรอแค่เซนติเมนต์แรงซื้อต่างชาติ หรือขอแค่หยุดขายก่อนเชื่อว่าดัชนีขึ้นเลย
“หมอรัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา” นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า การมี “กองทุน ThaiESG” ใหม่ เป็นการเพิ่มเงินเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่จะมีเม็ดเงินเข้าสู้กับนักลงทุนต่างชาติ จากปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยสัดส่วนกว่า 50% ซึ่งมองจีดีพีไทยไ่ม่ดี และหุ้นที่อยู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็น “หุ้นยุคเก่า” ไม่เติบโตมาก ทำให้ตั้งแต่ปีมานี้ มีแรงขายหุ้นไทยต่อเนื่องกว่า 1.1 แสนล้านบาทแล้ว และมีแรงชอร์ตเซลเข้ามาซ้ำอีก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหน่วยงานเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทย จะมีมาตรการเข้ามาดูแล แต่มองว่า “ยังแก้ได้ไม่เต็มที่” อย่างกองทุนภาษี ThaiESG ใหม่ยังให้สิทธิประโยชน์ไม่เท่ากับกองทุน LTF แต่ส่วนตัวมองว่าตอนนี้ “มีดีกว่าไม่มี”
ขณะที่ี ดัชนีหุ้นไทยหลุดต่ำกว่า 1,300 จุด น่าดึงดูดใจลงทุน ดังนั้น แรงขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่ม “เบาบางลง” ประกอบกับปัจจัยการเมืองในประเทศช่วงสัปดาห์หน้าไม่น่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะตลาดซึมซับข่าวจะเห็นว่า “ดัชนีปรับตัวลงมามากแล้ว”
แต่กลับมองว่า หากสถานการณ์การเมืองในประเทศ พลิกกลับมา “เป็นปกติ” หรือ “เป็นบวก” ได้ ระดับดัชนีหุ้นไทย “น่าจะตีกลับได้” และที่ระดับปัจจุบัน “น่าลงทุน” ก่อน ไม่น่าจะปรับตัวลงลึกไปถึง 1,100 จุด และหลังจากนี้ค่อยประเมินหาจังหวะตลาดหุ้นไทยกลับมา “รีบาวนด์” มากหรือน้อยแค่ไหน
มองว่า หุ้นไทยครึ่งแรกนักลงทุนอาจจะถอดใจ แต่ครึ่งหลังมองว่าเริ่มมีหวังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ สะท้อนจากต่างชาติขายสะเด็ดน้ำแล้ว แรงขายหลังจากนี้น่าจะไม่มากแล้ว บวกกับมีเม็ดเงินกองทุน ThaiESG ใหม่เข้ามา และมาตรการอัปติ๊กมีความเหมาะสมช่วยทำให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น
ดังนั้น ระดับดัชนีหุ้นไทย 1,300 จุด หรือต่ำกว่า 1,300 จุดเล็กน้อย ส่วนตัวมองว่า “เป็นจุดที่น่าลงทุนหุ้นไทย” เพราะความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่จะได้รับต่ำ ทำให้มีโอกาสผลตอบแทนการลงทุนจะสูง เมื่อดัชนีกลับมารีบาวนด์บ้าง ประเมินแนวต้านสิ้น 1,400-1,450 จุด แต่หากมีมาตรการภาครัฐกระตุ้นตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมต่อเนื่อง ทั้งฟื้นกองทุนวายุภักษ์ หรือกองทุน LTF กลับมาได้ ช่วยฟื้นดัชนีได้ต่อ หรือหากนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ตหมื่นบาทเริ่มได้จริง ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยและต่างชาติกลับมาได้ เป็นเหมือนยาแรง มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสเด้งขึ้นไปแตะ 1,500 จุดได้เช่นกัน
ดังนั้น แนะนำว่ากลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทยหลังจากนี้ ยังคงต้องเน้นเลือก “ซื้อหุ้นรายตัว” เพราะหุ้นบางตัว อาจชนะระดับดัชนีหุ้นไทยได้ “คงไม่ใช่ซื้อหุ้นทุกตัวแล้วหุ้นจะขึ้นทุกตัว”
ขณะที่ ปัจจุบันพอร์ตลงทุนหุ้นไทย “บวก4%” เน้นถือเงินสดมากกว่าหุ้น ทำให้โชคดีที่จังหวะดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไม่ได้กระทบพอร์ตลงทุนมากนักมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 40% จากก่อนหน้านี้ที่ 20% และเน้นถือเงินสด
โดยกลับมาเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยในจังหวะที่ดัชนีหุ้นไทยหลุด 1,300 จุด เป็นแนวที่น่าซื้อเพิ่มขึ้น และปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในพอร์ตเพิ่มขึ้น เน้นหุ้น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหาร เพราะยังเห็นราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมีโอกาสผลตอบแทนชนะตลาด