2 หุ้นเด่นส่งออกอาหาร TU - ITC เข้าไฮซีซัน โบรกเชียร์ผลงานขาขึ้น

ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้น่าจะเป็นอีก 1 ไฮซีซันของบรรดาผู้ส่งออกอาหาร ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปีนี้ แนวโน้มการส่งออกสินค้าหลายชนิดที่หดตัวในไตรมาสแรกจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี

ผู้สื่อข่าวสำรวจหุ้นไทยที่ประกอบธุรกิจส่งออกอาหารรายใหญ่ที่มีรายได้จากต่างประเทศเกินกว่า 50% พบ 2 รายซึ่งมีความสัมพันธ์กันเชิงธุรกิจและกำลังจะได้รับผลดีจากการเข้าสู่ไฮซีซันได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU และ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC มีราคาบนกระดานยังมีส่วนต่างน่าสนใจจากราคาเป้าหมายพื้นฐาน

TU

TU หนึ่งในบริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง และขยายธุรกิจให้ครบวงจรด้วยธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่าง โดยเน้นอาหารทะเล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ ธุรกิจการตลาดภายในประเทศ ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจพัฒนาสายพันธุ์กุ้งเพื่อจำหน่าย

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส แนะนำเป็นหุ้น Outperform ราคาเหมาะสม 19.00 บาท (ราคาปิด 5 ก.ค. 2567 อยู่ที่ 14.90 บาท) โดยคาดกำไรปกติไตรมาส 2/2567 จะประกาศอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่ม 2.5% YoY และเด่น 50% จากฐานต่ำไตรมาสแรกมาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น นำโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลแปรรูปกระป๋อง เข้ามาหนุนต่อยอดขายและมาร์จิน รวมถึงการดำเนินดีขึ้นของ AVANTI และการไม่มีกิจการ RED LOBSTER ส่งผลบวกต่อส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม ชดเชยกับค่าใช้จ่ายขายบริหารและภาษีเพิ่มขึ้น

อีกทั้ งการดำเนินงาน ไตรมาส 3/2567 คาดเติบโตขึ้น โดยในเชิง QoQ จากปัจจัยเรื่องฤดูกาล และ YoY จากคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในธุรกิจหลัก ตามด้วยอาหารทะเลแปรรูปกระป๋อง และอาหารทะเลแช่แข็งแช่เย็นคาดมีอุปสงค์เพิ่มมากขึ้น ทิศทางกำไรเป็นขาขึ้นในไตรมาส 3/2567 และ ครึ่งปีหลัง 2567 จะดีกว่าครึ่งปีแรก
 

ITC

ITC บริษัทในกลุ่มหุ้น TU ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง เน้นรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยง 99% และมีการส่งออกในตลาดสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ

บล.เอเซีย พลัส ยังวิเคราะห์ถึงหุ้นดังกล่าวว่า ITC เป็นหุ้น Outperform เช่นกัน ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท (ราคาปิด 5 ก.ค. 2567 อยู่ที่ 23.80 บาท) คาดไตรมาส 2/2567 กำไรปกติที่ 890 ล้านบาท เติบโต 1.4% QoQ และโดดเด่น 106% YoY จากปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มต่อเนื่อง นำโดยฝั่งสหรัฐและยุโรป หนุนต่อยอดขายสูงขึ้น นำไปสู่การใช้กำลังการผลิตเพิ่ม ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด และต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง ประกอบกับสต๊อกต้นทุนทูน่าที่ลดลง ส่งผลบวกต่อมาร์จิน

ขณะที่ แนวโน้มยอดขายครึ่งหลังปี 2567 ยังมีโมเมนตัมต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยไตรมาส 3/2567 คาดได้คำสั่งซื้อบางส่วนที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/2567 แต่ขนส่งไม่ทันเนื่องจากลูกค้าสหรัฐมีปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ต้องเลื่อนมาในไตรมาส 3/2567 จึงคาดไตรมาสนี้ยังมีโอกาสปรับขึ้นและทำจุดสูงสุดในไตรมาส 4/2567 ตามปัจจัยเรื่องฤดูกาล