"ทริสเรทติ้ง" คงมุมมองเดิมต่อ SAMART แม้มีคำพิพากษาฎีกาให้ชดใช้ 718.69 ล้าน

"ทริสเรทติ้ง" คงมุมมองเดิมต่อ SAMART แม้มีคำพิพากษาฎีกาให้ชดใช้ 718.69 ล้าน

"ทริสเรทติ้ง" ประเมินคำพิพากษาศาลฎีกาต่อ “สามารถคอร์ปอเรชั่น” กรณีสั่งให้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 718.69 ล้านบาทให้ BAGOC และ กกท. มีผลกระทบจำกัด จึงคงเครดิตระดับ BBB แนวโน้ม Positive

ทริสเรทติ้งประเมินว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาที่มีคำสั่งให้ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SAMART) ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวมจำนวนทั้งสิ้น 718.69 ล้านบาทให้แก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 (BAGOC) และการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) นั้น 

จะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในวงจำกัด แม้ว่าการชำระหนี้ในครั้งนี้จะทำให้ภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงต่ำกว่าระดับ 3.5 เท่าในช่วงระหว่างปี 2567-2569 ซึ่งยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัทที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก”
 

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 บริษัทได้ประกาศว่าศาลฎีกาและคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งให้บริษัทต้องชำระเงินต้นจำนวน 190 ล้านบาท และดอกเบี้ยจำนวน 528.69 ล้านบาทให้แก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 (BAGOC) และ กกท. อันสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทที่กินเวลายาวนานมาตั้งแต่ปี 2540 ดังนั้น เพื่อดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวของศาล 

บริษัทจึงได้นำเงินไปวางทรัพย์ไว้ ณ สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 เพื่อชำระหนี้เงินต้นทั้งจำนวน 190 ล้านบาทและชำระดอกเบี้ยบางส่วนที่จำนวน 40 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนดอกเบี้ยในส่วนที่เหลือนั้นบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขอผ่อนชำระเป็นงวดรายปีภายในเวลา 7 ปีซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กกท.

นอกจากนี้ SAMART ได้มีการตั้งเงินสำรองเพื่อการนี้ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่เป็นจำนวน 424 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2565 ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2567 บริษัทได้บันทึกประมาณการหนี้สินระยะยาวสำหรับข้อพิพาททางกฎหมายดังกล่าวที่จำนวน 438.47 ล้านบาท และจะตั้งสำรองเพิ่มเติมอีกประมาณ 280 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2567

ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดหากเกิดกรณีที่บริษัทจำเป็นจะต้องชำระดอกเบี้ยส่วนที่เหลือในทันทีนั้น ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดและสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะรองรับการชำระเงินดังกล่าวได้