MAJOR งบ Q2/67 ส่อย่อสวนทางหนังไทยคึก 5 โบรกชี้เป้าราคาพื้นฐาน 13.1-21.5 บาท

MAJOR งบ Q2/67 ส่อย่อสวนทางหนังไทยคึก 5 โบรกชี้เป้าราคาพื้นฐาน 13.1-21.5 บาท

วิเคราะห์หุ้น "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป" งบ Q2/67 ส่อแววย่อสวนทางหนังไทยคึก เหตุหนังต่างประเทศฟอร์มยักษ์มีน้อยขณะที่ไม่กำไรพิเศษเหมือนปีก่อน 5 โบรกชี้เป้าราคาพื้นฐาน 13.10-21.50 บาท

ปกติแล้ว ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ย่อมอิงกับกระแสความนิยมเข้าชมหนังต่างๆ ของคนในประเทศ ตลอดครึ่งปีแรกมานี้กระแสภาพยนตร์ไทยคึกคักจากหนังหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จเป็นวงกว้าง สร้างผลัดกันสร้างสถิตการเข้าชมเนืองๆ ตัวอย่างเช่น

  • หลานม่า (เข้าฉาย 4 เมษายน 2567)
  • อนงค์ (เข้าฉาย 1 พฤษภาคม 2567)
  • หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด (เข้าฉาย 14 มีนาคม 2567)
  • พี่นาค 4 (เข้าฉาย 22 กุมภาพันธ์ 2567)
  • เทอม 3 (สหมงคลฟิล์มฯ)

ซึ่งแต่ละเรื่องยอดรายได้ล้วนเกิน 100 ล้านบาท โดยเฉพาะหลานม่ารายได้ทั่วประเทศสูงสุดกว่า 320 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาการลงทุนหุ้นประเภทโรงภาพยนตร์ซึ่งในตลาดหุ้นไทยมีเพียง บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR จำเป็นต้องประเมินปัจจัยเชิงเปรียบเทียบอื่นด้วย โดยมีความเป็นไปได้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2567 อาจไม่แรงตามกระแสหนังไทย เนื่องจากขาดหนังฟอร์มใหญ่จากต่างประเทศมาช่วยสนับสนุนยอดผู้ชมดังเช่นที่ผ่านมา อีกทั้งในปีก่อนก็มีการรับรู้กำไรพิเศษขายหุ้นของ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC จำนวน 346 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า MAJOR เป็นรายใหญ่ในธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 70% เมื่อหนังรายได้ดีผลประกอบการก็จะดีตาม และปีนี้มีแผนเพิ่มโรงอีก 40-50แห่ง ซึ่งต่อยอดไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รวมถึงจะมีป๊อปคอร์นรสใหม่เพิ่มอีก 2 รสชาติเพื่อขายใน 7-11 และโมเดิร์นเทรด

อย่างไรก็ตามในปีก่อนมีหนังฮอลลีวูดรายได้สูง แต่ครึ่งแรกปี 2567 หนังฮอลลีวูดรายได้ Underperform มีเพียง2 เรื่องที่มีรายได้จากโรงภาพยนตร์เกิน 100 ล้านบาท คือ Godzilla & Kong และ Dune ส่วนครึ่งปีหลัง 2567 ยังมีหนังใหญ่ทั้งฮอลลีวูดที่น่าสนใจ และหนังไทยจะเข้าฉายราว 34 เรื่อง ซึ่งมีหนังร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์อย่างน้อย 6 เรื่อง

ด้านบล. เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาด MAJOR รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 ที่ 182 ล้านบาท (-66% YoY แต่ +30% QoQ) โดยกำไรที่ลดลง YoY มาจาก

1. กำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในไตรมาส 2/2566,

2. รายได้ลดลง

3.มีค่าใช้จ่ายพิเศษต่างๆ ราว 70-80 ล้านบาท

ส่วนกำไรเติบโต QoQ จะเป็นเพราะหนังหลายเรื่องได้รับความนิยมสูงทำให้รายได้และ Margin ดีขึ้น ในขณะที่คาด MAJOR จะบันทึกกำไรจากภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีราว 85 ล้านบาทในไตรมาสนี้ (เทียบกับ 65 ล้านบาทในไตรมาส 1/2567)

แม้ว่าหนังไทยยังมีโมเมนตัมเป็นบวกต่อเนื่อง แต่ทว่าคาด รายได้ MAJOR ในไตรมาส 2/2567 ไม่น่าแข็งแกร่งอยู่ที่ 2 พันล้านบาท (-11% YoY แต่ +18% QoQ) โดยรายได้ลดลง YoY จะมาจากรายได้จากภาพยนตร์ต่ำลงเพราะมีหนังดังจาก Hollywood หลายๆ เรื่องแข็งแกร่งกว่าในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน (เช่น Fast X, Guardians of the Galaxy Vol.3, Transformers) ส่วนรายได้สูงขึ้น QoQ จะเป็นเพราะหนังไทยหลายเรื่องทำผลงานได้ดี ขณะที่คาดรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาน่าจะลดลง 10 %YoY แต่ดีขึ้น 6% QoQ ตามแนวโน้มผู้เข้าหนังในโรงหนังมีมากขึ้น ด้าน GPM คาดดีขึ้นอยู่ที่ 34.7% (+1.8ppts YoY และ +3.5ppts QoQ) โดยที่เพิ่มขึ้น YoY เนื่องจากต้นทุนการทำหนังต่ำลงและ Margin ของเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวดีขึ้นจากการตั้งราคาโปรโมชั่น ส่วน GPM ดีขึ้น QoQ ตามรายได้ที่สูงขึ้น

และประเมินว่ากำไรของ MAJOR น่าจะดีขึ้นในครึ่งหลังปี 2567 ด้วยแรงหนุนจากหนังไทยหลายๆ เรื่องมีผลงานดี เช่น ธี่หยด 2 ตามในภาคแรกที่ประสบความสำเร็จสูงและเรื่องอื่น ๆ ด้วย ซึ่งช่วยผลักดันรายได้และ Margin ดีขึ้น

 

5 โบรกเกอร์ ให้ราคาเป้าหมายเชิงพื้นฐานหุ้น MAJOR ดังนี้

  1. บล.เอเชีย พลัส ราคาเป้าหมาย 21.50 บาท
  2. บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ราคาเป้าหมาย 19.40 บาท
  3. บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ราคาพื้นฐาน 19.00 บาท
  4. บล.กรุงศรี ราคาเป้าหมาย 16.30 บาท
  5. บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ราคาเป้าหมาย 13.10 บาท