"ไอพีโอ" ขาขึ้นถือยาวราคาเพิ่ม ครึ่งแรกปี 67 เหลือแค่ NEO - CFARM

"ไอพีโอ" ขาขึ้นถือยาวราคาเพิ่ม ครึ่งแรกปี 67 เหลือแค่ NEO - CFARM

ผลตอบแทนสูงสุดนับเป็นยอดปรารถนาของนักลงทุนหุ้นโดยเฉพาะผู้นิยมจองหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือ IPO ย่อมคาดหวังให้ราคาหุ้นที่ได้มาหลังเข้าซื้อขายในกระดานมีทิศทางเป็นขาขึ้น

ในครึ่งแรกปี 2567 นี้มี IPO ที่เข้าสู่กระดาน SET และ mai รวม 17 หลักทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่ในวันแรกที่เข้าทำการซื้อขายมี 11 หลักทรัพย์ที่บวกกระทั่งปิดสิ้นวันทำการได้ ทว่าหากครองยาวออกไปเกินเดือนหลายตัวกลับไม่อาจยืนระยะบนฐานราคาเหนือจองได้ และล่าสุด ณ ข้อมูลสิ้นวันที่ 11 ก.ค. 2567 เหลือเพียง 8 หลักทรัพย์ที่ราคาเหนือจอง ซึ่งในจำนวนนี้บางหลักทรัพย์การถือระยะยาวกว่าให้กลับให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าขายทำกำไรที่ราคาปิดวันแรก และยังมีรายที่ผลตอบแทนราคายังมากกว่า 100% ทว่าอาจย่อลงกว่าวันแรก

หลักทรัพย์เข้า IPO ครึ่งปีแรกที่ยังเหนือราคาจองเช่น บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS, บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO, บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BKGI, บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO, บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE, บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM, บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO และ บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ TERA
 

จากกลุ่มรายชื่อข้างต้นมีเพียง 2 หลักทรัพย์ที่ราคาวันแรกปิดบวกเหนือราคาจองได้พอประมาณเทียบราคาไอพีโอ ทว่าระยะยาวค่อยๆ แรงขึ้น ได้แก่

NEO ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ราคาจองไอพีโอ 39.00 บาท เข้าตลาด SET สร้างผลตอบแทนปิดตลาดวันแรก 9 เม.ย. 2567 ที่ราคา 46.25 บาท เปลี่ยนแปลง 18.59% ทว่าหากถือยาวผลตอบแทนเชิงราคาหุ้นขยับเพิ่มจากราคาจองไปอยู่ที่ 56.00 บาท เปลี่ยนแปลง 43.59% ณ ราคาปิดวันที่ 11 ก.ค. 2567

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ วิเคราะห์ NEO ว่าผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งจากทั้งรายได้และอัตรากำไร โดยในไตรมาส 2/2567 คาดรายได้เติบโต 11% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนเป็น 2,550 ล้านบาท จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Silver Age รวมถึงการเริ่มส่งออกสินค้าไปยังลูกค้าใหม่ 2 รายในต่างประเทศได้แก่ บาห์เรน และปากีสถาน ขณะที่คาด GPM จะอยู่ที่ 45.8% เพิ่มขึ้นจาก 42.5% ในไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลงและการเพิ่มสินค้าในกลุ่ม Premium มากขึ้น

พร้อมคาดกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2567 ที่ 282 ล้านบาท เพิ่ม 81% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่ม 5% จากไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนความเสี่ยงธุรกิจยังได้แก่ การแข่งขันด้านราคารุนแรง, สินค้าบางส่วนถูกควบคุมด้านราคา, ต้นทุนมีความผันผวนสูง และความสำเร็จของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ จึงให้มูลค่าเหมาะสม 64.75 บาท
 

และ CFARM ผู้ประกอบธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ ประเภทฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อให้กับคู่สัญญาในรูปแบบเกษตรพันธสัญญาแบบประกันราคา ราคาจองไอพีโอ 1.35 บาท เข้าตลาด mai สร้างผลตอบแทนปิดตลาดวันแรก 6 มิ.ย. 2567 ที่ราคา 1.49 บาท เปลี่ยนแปลง 10.37% ทว่าหากถือยาวผลตอบแทนเชิงราคาหุ้นขยับเพิ่มจากราคาจองไปอยู่ที่ 1.64 บาท เปลี่ยนแปลง 21.48% ณ ราคาปิดวันที่ 11 ก.ค. 2567

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 2567 คาดเติบโตเด่น ประเมินกำไรสุทธิทำได้ 44 ล้านบาท และขยายตัวต่อในปี 2568 คาดที่ 61 ล้านบาท โดยได้รับผลดีจากประสิทธิภาพการเลี้ยงที่คาดสูงขึ้น และอัตราการเลี้ยงรอดสูงขึ้น

มูลค่าเหมาะสมอ้างอิงวิธี P/E Ratio ที่ 18 เท่า ซึ่งให้ Premium สูงกว่าผู้เล่นรายอื่นในตลาดเนื่องจากความเสี่ยงและความผันผวนของกำไรที่ต่ำกว่า และมี GPM สูงกว่ากลุ่ม รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สูงกว่าได้ราคาเหมาะสมสิ้นไตรมาส 2/2567 ที่ 1.64 บาท

\"ไอพีโอ\" ขาขึ้นถือยาวราคาเพิ่ม ครึ่งแรกปี 67 เหลือแค่ NEO - CFARM

นอกจากนี้ไอพีโอในครึ่งปีแรก 2567 ที่สร้างผลตอบแทนราคาหุ้นสูงสุดในปัจจุบันยังคงเป็น LTS ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่าง ราคาจองไอพีโอ 3.00 บาท เข้าตลาด mai สร้างผลตอบแทนปิดตลาดวันแรก 17 พ.ค. 2567 ที่ราคา 9.05 บาท เปลี่ยนแปลง 201.67% ทว่าหากถือครองยาวผลตอบแทนกลับย่อลงมาพอสมควร ราคาอยู่ที่ 8.15 บาท เปลี่ยนแปลง 171.67% ณ ราคาปิดวันที่ 11 ก.ค. 2567

บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุเพิ่มเติมถึงหุ้น LTS ในเชิงพื้นฐานว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 ที่ 16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากไตรมาส 1/2567 และเพิ่มสูง 1,220.0% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากการรับรู้งานไอทีมากขึ้น ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น หรือ GPM สูงทำให้กำไรเติบโตได้แม้ว่ารายได้ไม่เติบโต

อีกทั้งมีความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการที่ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นจาก 1. โอกาสได้งานเสาไฟอัจฉริยะอีก 2–3 งาน และ 2. งานวางระบบไอทีขนาดใหญ่ จึงให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 9.70 บาท