หุ้นไทยหลุด 1,300 จุด กังวลสหรัฐเข้าสู่ Recession DELTA ฉุดตลาดร่วงแรง 7%
หุ้นไทยปรับตัวลงอย่างแรงหลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงแรงและเข้าสู่ภาวะ recession ดัชนีเช้านี้ที่ 1,292.20 จุด ปรับตัวลง 20.88 จุด หรือ 1.59%
ขณะ DELTA ปรับตัวลงแรง 6.93%
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 5 ส.ค.2567 เวลา 10.00 น. "หุ้นไทย"ปรับตัวลงอย่างแรงหลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงแรงและเข้าสู่ภาวะ recession โดยภาคเช้าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาที่ อยู่ที่ 1,292.20 จุด ปรับตัวลง 20.88 จุด หรือ 1.59%
ขณะที่หุ้น DELTA หรือ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลงแรง 6.93% หรือราคาลดลง 7.00 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 94.00 บาท
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (5 ส.ค.2567) หลุด 1,300 จุด หากเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงมาประมาณ 2% ขณะที่ หุ้น North Asia ปรับตัวลงมาแรงถึง 6% ถือว่าทรงไม่ค่อยดีเพราะหากดัชนีปรับตัวลงมาต่ำกว่า 1,300 จุด เซนติเมนจะเป็นลบมากยิ่งขึ้น ซึ่งมาจากความกังวลต่อเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้เกิดแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยงในสินทรัพย์เสี่ยง
ขณะเดียวกันไทยเองยังคงมีเรื่องในประเทศ ปัจจัยทางการเมืองโดยสัปดาห์นี้วันที่ 7 ส.ค.2567 จะมีการพิจารณายุบพรรคก้าวไกล ซึ่งคาดว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะไม่ค่อยมีน้ำหนักกับตลาดหุ้นสักเท่าไร แต่อาจจะทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลได้ แต่คดีของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่จะมีการพิจารณากันในสัปดาห์หน้า (14 ส.ค.2567) คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้ และยังคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
โดยในวันนี้หุ้น DELTA ที่ปรับตัวลงมาแรง และมีผลกับดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวร่วงลงมาแรงทันทีประมาณ 6-7% ซึ่งส่วนใหญ่ในวันนี้แรงเทขายเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แม้ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา DELTA จะสามารถสวนตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้จากงบไตรมาส 2/67 ประกาศออกมาดีกว่าคาด แต่เมื่อรับรู้งบไปแล้วก็ทำให้มีการกลับมาสู่เซนติเมนทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ ซึ่งตัวเดียวผลฉุดลงไปถึง 7 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นโดยรวมลบที่ 11 จุด
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นเดือนนี้เป็นต้นไป แนะนำนักลงทุนให้ถือเงินสดบางส่วน เพราะสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ซึ่งต้องรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน
ส่วนกรณีเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงไม่แน่ชัดว่า เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจริงหรือไม่ แต่ถ้าสังเกตจากตลาดมีความกลัวค่อนข้างมาก ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยถ้ายิ่งเร็วอาจจะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดก็ได้
ดังนั้นนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง กลุ่มการท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร ที่มีกระแสเงินสดดี และปันผลดี ก็สามารถตั้งรับได้
"ปัจจัยต่างปะเทศไม่ค่อยดี และยังมความกังวลอยู่ 3 ปัจจัย คือ recession รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ตะวันออกกลาง และ BOJ เริ่มกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด และปัจจัยในประเทศเองก็ไม่ดีที่ยังมีความอึมครึมเกี่ยวกับการเมือง"