TOA โชว์ Q2/67 รายได้ 5.4 พันล้าน ปันผลครึ่งปี 0.33 บาทต่อหุ้น
"ทีโอเอ เพ้นท์" ผลประกอบการ Q2/67 มีรายได้รวม 5,456 ล้านบาท กำไรสุทธิ 477 ล้านบาท ท่ามกลางภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวส่งผลต่อยอดขายสีทาอาคาร ในขณะที่ยอดขายกลุ่มเคมีก่อสร้างและยิปซั่มบอร์ดยังเติบโต ขณะที่มติบอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาล 0.33 บาทต่อหุ้น จ่าย 13 ก.ย. 67
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TOA) เผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/2567 มีรายได้รวม 5,456 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1% และรายได้รวมในงวด 6 เดือนแรก ปี 2567 เป็นเงิน 10,941 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 11,121 ล้านบาท
อันเนื่องมาจากผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นปี กำลังซื้อของลูกค้าที่ลดลงทั้งจากภาระดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงิน ส่งผลโดยตรงให้ความต้องการใช้สีเพื่อตกแต่งและซ่อมแซมบ้านชะลอตัวลง
ส่วนยอดขายสินค้าในกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้างและยิปซั่มบอร์ดมีการเติบโตขึ้น จากช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย
อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงตัวอยู่ในระดับสูง โดยอัตรากำไรขั้นต้น ในไตรมาส 2/2567 เท่ากับ 34.4% เท่ากับช่วงเดียวกันปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับงวดหกเดือนแรก ปี 2567 เท่ากับ 35.1% สูงขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งเท่ากับ 33.6% เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านวัตถุดิบและต้นทุนผลิต แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงไตรมาส 2/2567
ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2567 เป็นเงิน 477 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 36% ตามยอดขายที่ปรับตัวลดลงและการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่าสินทรัพย์หนี้สินในต่างประเทศ เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงปลายไตรมาส 2/2567
ทั้งนี้กำไรจากธุรกิจหลักไม่รวมรวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว กำไรในไตรมาส 2/2567 เป็นเงิน 594 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนเพียง 14% ในขณะที่กำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2567 เป็นเงิน 1,281 ล้านบาท ลดลง 7%
แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมีความท้าทายทั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะส่งผลถึงความต้องการใช้สีและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันการค้าระหว่างประเทศที่จะส่งผลต่อ Supply chain ซึ่งมีผลต่อราคาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต
บริษัทได้เตรียมความพร้อมและการบริหารความเสี่ยงทั้งการขยายธุรกิจที่เป็นมากกว่าสีทาอาคาร การจัดการด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย และปรับกระบวนการภายใน ทำให้เรามีผลงานที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับในอุตสาหกรรม อีกทั้งมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบ นำส่งการปรับแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบริบทการดำเนินธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าในกลุ่มสี Premium และสีรักษ์โลกเพื่อตอบรับเทรนด์ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความคงทนของสีในยุคปัจจุบันที่ค่าแรงช่างทาสีมีแนวโน้มสูงขึ้น และการลดปัญหาโลกร้อนโดยใช้สีที่มีฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์ โดยผลิตภัณฑ์สีทาอาคารของ TOA มี “ฉลากลดโลกร้อน” หรือ (Carbon Footprint Reduction label : CFR) ที่ผ่านการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) มากที่สุดในตลาดสีทาอาคารถึง 40 ผลิตภัณฑ์
การพัฒนานวัตกรรมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สู่การเป็นองค์กร Net Zero เพื่อสร้างองค์กรสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้เรายังมุ่งพัฒนาองค์กรในหลากมิติเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ และเป็นองค์กรที่สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.33 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 กันยายน 2567