PMC ไอพีโอ 1.82 บาท จอง 29 ส.ค.- 5 ก.ย. คาดเทรด 11 ก.ย. 67

PMC ไอพีโอ 1.82 บาท จอง 29 ส.ค.- 5 ก.ย. คาดเทรด 11 ก.ย. 67

"พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์" เคาะราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 1.82 บาท เตรียมเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ SELIC ที่ได้สิทธิจองซื้อวันที่ 29-30 ส.ค., 2 ก.ย. และนักลงทุนทั่วไปจองซื้อวันที่ 3-5 ก.ย.นี้ มั่นใจนักลงทุนตอบรับดีจากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง คาดเทรด mai วันที่ 11 ก.ย. 67

นายเอก สุวัฒนพิมพ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 115.72 ล้านหุ้น กำหนดราคาขายต่อหุ้นที่ 1.82 บาท แบ่งเป็น เปิดให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 34.71 ล้านหุ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 29-30 ส.ค., 2 ก.ย. และนักลงทุนทั่วไปวันที่ 3-5 ก.ย. 2567 นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 11 ก.ย. 2567
 
โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 210,601,300 บาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตใหม่ และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม สนับสนุนให้ PMC ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน

บริษัทมั่นใจการเสนอขายครั้งนี้จะได้รับการตอบรับดีเยี่ยมสอดคล้องกับภาพรวมหุ้นไทยในระยะนี้กลับมามีทิศทางที่ดี โดยราคาขายที่กำหนดไว้ 1.82 บาท ซึ่งมีส่วนลดจากราคาที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมินเชิงพื้นฐานไว้เกือบ 50% นั้น สาเหตุจากช่วงขณะที่ตั้งราคาขายตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างรุนแรงจากปัญหาการเมืองในประเทศ แต่ยังเชื่อว่าการที่กิจการมีพื้นฐานดีพร้อมเติบโตจะเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนได้

"ราคานี้เป็นระดับที่เราพอใจและมีส่วนลดพอสมควร และตอนนี้ตลาดหุ้นก็กลับมาดีแล้ว เราก็มั่นใจมากขึ้นว่าไอพีโอเราจะได้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งจากราคาและพื้นฐานที่เติบโตยิ่งขึ้นในอนาคตภายหลังไอพีโอ"
 

ปัจจุบัน PMC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษ สติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ โดยจัดจำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

งวดครึ่งปีแรกมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณร้อยละ 70 ส่วนอีกร้อยละ 30 เป็นการจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งมีกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม  

นอกจากนี้ PMC มีโรงงานผลิตสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี จากปัจจุบันกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อยู่ที่ 75 ล้านตารางเมตรต่อปี 

สายการผลิตใหม่อยู่ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป ภายหลังจากที่สายการผลิตใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทจะมีกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์รวมทั้งสิ้น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย 

ทั้งนี้ PMC เป็นบริษัทย่อยในสัดส่วนร้อยละ 100 ของ SELIC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดย PMC ถือเป็นแกนหลัก (Flagship Company) ในกลุ่ม SELIC ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดการใช้งานได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) เป็นต้น  

ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายอยู่ที่ 432.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 24 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้จากการขายอยู่ที่ 420.6 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 1 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามราคาวัตถุดิบและอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำตลอดช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ประกอบกับความสามารถของบริษัทฯ ในการเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Premium ซึ่งได้แก่ สติ๊กเกอร์ฟิล์มและสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 824.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17.4 ล้านบาท   

นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เปิดเผยว่า การกำหนดราคาขาย PMC หุ้นละ 1.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Trailing 12-month P/E Ratio) เท่ากับ 12.18 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่ 0.1494 บาทต่อหุ้น 

ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ 40.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 270,000,000 หุ้น (Pre-IPO Dilution) 

และคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 17.40 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นที่ 0.1046 บาท หากพิจารณากำไรสุทธิต่อหุ้นที่คำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 385,715,000 หุ้น (Post-IPO Dilution หรือ Fully Diluted)

ทั้งนี้ PMC พิจารณานำ P/E ของคู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 12 เดือน มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ 

อย่างไรก็ดี PMC เดินหน้าจัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ต่อนักลงทุนรายย่อย ชูปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ โดยจุดเด่นของ PMC เป็นบริษัทชั้นนำด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารที่มาจาก  SELIC มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี และเป็นผู้ผลิตสติ๊กเกอร์รายใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศไทย  

"ตอนนี้ตลาดของ IPO ดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกอย่างมาก โดยเฉพาะในระยะสั้นความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐบาลและการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่มมาตรการกำกับดูแลต่างๆ เข้ามาบังคับใช้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนต่างๆ ได้ และคาดหวังว่าจากนี้จะดีขึ้นต่อเนื่องอีก"