‘ภากร’คาดหุ้นไทย 1,500 จุดฝากผจก.14'เน้นประสานงานรอบด้าน'

‘ภากร’คาดหุ้นไทย 1,500 จุดฝากผจก.14'เน้นประสานงานรอบด้าน'

'ภากร'ประเมิน “หุ้นไทย” ฟื้นตัวปัจจัยการเมืองชัดเจนมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุน “ฟันด์โฟลว์” ย้ำไม่ใช่เงินทุนการเมืองและดัชนีไปต่อตามคาดการณ์ “สถาบันต่างชาติ” 1,500-1,550 จุด พร้อมส่งไม้ต่อผจก. คนที่ 14 เน้นประสานงานรอบด้านให้รวดเร็ว และชัดเจน

     บรรยากาศการลงทุนใน “ตลาดหุ้นไทย” มีทิศทางฟื้นตัวชัดเจนขึ้น สะท้อนจาก “เม็ดเงินต่างชาติ” (ฟันด์โฟลว์) ที่หวนกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง หากนับตั้งแต่ 1-10 ก.ย. 2567 นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมา “ซื้อสุทธิ” 19,702.37 ล้านบาท แม้ว่าตั้งแต่ต้นปี (1 ม.ค.-10 ก.ย.) ยังเป็น “ขายสุทธิ” อยู่ 105,045.54 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมาก หลังปัจจัยบวกเข้ามาหนุนทั้ง การเมืองไทยมีความชัดเจน จากการมีนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งคาดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น  

    นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงตลาดหุ้นไทยทิศทางตลาดหุ้นปัจจุบันที่ปรับตัวมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเมืองที่ชัดเจน ส่งผลดีต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และไม่เห็นด้วยประเด็นที่ว่าเป็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย จากเม็ดเงินลงทุนทางการเมืองเท่านั้น เนื่องจากด้วยปัจจัยหนุนต่างๆ จากยอดส่งออกเติบโต นักท่องเที่ยวเห็น 36 ล้านคน กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เติบโตจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา  10 % เท่า เทียบกับก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 

     ทั้งนี้ ตามการคาดการณ์ของสถาบันต่างชาติขยับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย 1,500-1,550 จุด เห็นด้วยและสอดคล้องกับกำไรบจ. ซึ่งต้องมาดูว่าอนาคตจะกลับมาเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 10 % ต่อปี จะเป็นแรงผลักดันเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น

      รวมทั้งนโยบายที่มีผลต่อตลาดหุ้นอย่าง “กองทุนวายุภักษ์หนึ่ง” ที่เตรียมเสนอขายด้วยมูลค่า 1-1.5 แสนล้านบาท โดยสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากเงื่อนไขความเสี่ยงไม่สูงมาก และให้ผลผลตอบแทนระดับดี ซึ่งถือเป็นการดึงดูดเงินทุนกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย จากที่ 3 ปีมียอดขายสุทธิแต่ช่วง 10 วันทำการมีเงินกลับมาซื้อแล้วเกือบ 20,000 ล้านบาท แต่จะต่อเนื่องต้องดูปัจจัยภายนอกที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดเดือนนี้ว่าจะส่งสัญญาณในแง่ไหนบ้าง

    “ตอนนี้หุ้นไทยฟื้นตัวแล้ว กำไรบจ.ปรับตัวตามเศรษฐกิจ มองไปตอนนี้ ความไม่แน่นอนในประเทศดีขึ้นหลายเรื่อง เพียงแต่ต้องติดตามปัจจัยที่มีผลต่อสภาพคล่องของโลกเพราะหากเฟดลดดอกเบี้ยมากไปอาจะเป็นความกังวลต่อตลาดหุ้นได้”

     ขณะที่ ประเมินว่าตลาดทุนจะมีความมั่นคงได้จะต้องมีฐานผู้ลงทุนที่สมดุลทั้ง นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศที่สมดุลหรือนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันที่สมดุล ซึ่งตอนนี้ที่เห็นมีการเพิ่มของนักลงทุนหลายกลุ่มมากขึ้น ซึ่งการเติบโตของกลุ่มผู้ลงทุนอาจไม่เร็วเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตลท.ทำร่วมกันกับกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) คือการทำอย่างไรให้ฐานผู้ลงทุนเติบโตขึ้นเท่ากันทุกๆ กลุ่ม

“ภากร” ส่งไม้ต่อผู้จัดการคนที่ 14 

    นอกจากนี้ วานนี้ (10 ก.ย.) นายภากร ยังทิ้งทวนการแถลงข่าวในตำแหน่งผู้จัดการตลท.คนที่ 13 ครั้งสุดท้ายก่อนจะหมดวาระวันที่ 16 ก.ย นี้ ถึงบทบาทหน้าที่ในการหาสินค้า เพื่อนำมาระดมทุนและเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนให้ดีที่สุด ซึ่งในส่วนของการพัฒนายังดำเนินต่อไปแม้จะต้องเผชิญช่วงเศรษฐกิจดี และแย่เข้ามากระทบ แต่จากการทำงานที่ผ่านมาได้ใส่ความระมัดระวังให้มากขึ้น

     ด้วยการใช้เทคโนโลยี-โซเชียลมีเดียที่ปรับเปลี่ยนรวดเร็วและรุนแรงทำให้ ตลท. ต้องระวัง และต้องปรับตัวให้เร็วขึ้นตาม ทั้งวิธีการทำงาน การดำเนินการ ภายใต้ยังมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แค่ตลท. แล้วจะดำเนินการสำเร็จ เพราะมีทั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บริษัทจดทะเบียนผู้บริหาร ผู้สอบบัญชี โบรกเกอร์ กองทุน ที่เข้ามาทำงานรวมกันและไปในทิศทางเดียวกัน

     โดยเฉพาะงานตรวจสอบและดำเนินการผู้กระทำความผิดที่ชัดเจน สามารถลงโทษจนเกิดความยำเกรงได้มากขึ้น ซึ่งในเคสที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยมีเกิดขึ้นในอดีต ในตลาดหุ้นอื่นเกิดขึ้นมาแล้ว

     “ผมขอใช้คำว่า a blessing in disguise จุดที่ทำให้ปรับตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกันต้องทำงานแบบประสานและไร้รอยต่อตอบสนองเร็วขึ้นและชัดเจน หาการป้องกันที่ดีที่สุด แก้ไขได้ สามารถลงโทษให้ถูกต้องและรุนแรง ซึ่งฝากนายอัสสเดชที่เข้ามารับมาตำแหน่งใน 19 ก.ย.นี้”

“หุ้นไทย”ฟื้นหนุนเงินทุนไหลเข้า 2 หมื่นล้านบาท

     นายศรพล ตุลยะเสถียรรองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนส.ค. 2567 SET Indexปิดที่ 1,359.07 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้าสอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค

    โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และเดือนส.ค. 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 46,028 ล้านบาท ลดลง 21.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า แต่ปรับเพิ่มขั้น 21.1% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 8 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 44,404 ล้านบาท ลดลง 22.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไม่มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET และ mai

       ‘ภากร’คาดหุ้นไทย 1,500 จุดฝากผจก.14\'เน้นประสานงานรอบด้าน\'

     อย่างไรก็ตาม Forward P/Eของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 14.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.1 เท่าส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 3.50% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.16%

     เพิ่มเติมว่าปัจจัยภายในส่งเสริมความเชื่อมั่นนักลงทุน เช่นการเมืองมีความชัดเจนหลังเลือกนายกฯ ใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจรายการแข็งแกร่งกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ รวมทั้งผลการดำเนินการบจ.ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาแข็งแกร่ง ส่งผลทำให้เม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย 10วัน ทำการที่ 20,000  ล้านบาทจากก่อนหน้าเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้  

8 เดือนบจ. ซื้อหุ้นคืนรวม“หมื่นล้าน”

     ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนไทยหันมาใช้การซื้อหุ้นคืนเป็นเครื่องมือในการบริหารสภาพคล่องของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการซื้อหุ้นคืนยังช่วยส่งสัญญาณให้ผู้ลงทุนทราบว่าผู้บริหารมีความมั่นใจว่าราคาหุ้นในปัจจุบันถูกประเมินต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทและกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นในตลาด โดยตลอด 8 เดือนปี 2567 มีการซื้อหุ้นคืนรวม 1.3 หมื่นล้านบาท

    โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีสภาพคล่องไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยในกองทุน Thai ESG และความชัดเจนในการออกขายกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่มีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ ซึ่งจะดึงดูดความสนใจผู้ลงทุนและสามารถช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาดทุน

    “การซื้อหุ้นคืนยังช่วยส่งสัญญาณให้ผู้ลงทุนทราบว่าผู้บริหารมีความมั่นใจว่าราคาหุ้นในปัจจุบันถูกประเมินต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทและกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นในตลาด อีกทั้งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีสภาพคล่องไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี”