‘ภากร’ดึงผู้เชี่ยวชาญตรวจจับเน็กเก็ตชอร์ตต้นปี 67
ตลท. เร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญตรวจจับโปรแกรมเทรดต้นปี67 เพิ่มเติมกำกับดูแลซื้อขายหุ้น รับตลาดหุ้นไทยซบเซา- 17 % บจ.กำไรลด หั่นประมาณการปี 67 หุ้นไทยไร้เสน่ห์จากพิษเศรษฐกิจในและต่างประเทศ แต่ยังมีแรงหนุนเงินใหม่ TESG และเศรษฐกิจฟื้นตัว
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามภาวะตลาด และปรับหลักเกณฑ์ต่างๆให้เหมาะสมดูแลนักลงทุนอย่างเท่าเทียมนั้นได้เตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาในคณะทำงานพิเศษ
โดยได้คัดเลือกรายชื่อมาแล้วและอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาและทำสัญญาว่าจ้างระหว่างกัน คาดว่าจะสามารถเข้ามาเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในต้นปีหน้าจากนั้นใช้ระยะเวลาทำการศึกษา 1เดือนและน่าจะมีผลการศึกษาออกมาได้ในช่วงเดือนก.พ.ปีหน้า
สำหรับผู้เชี่ยวชาญ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่างประเทศ จะเข้ามาช่วยให้คำแนะนำทำการศึกษาและข้อเสนอแนะในการตรวจสอบการซื้อขายโปรแกรมเทรดและเน็กเก็ตชอร์ต (Naked Short) ตามแนวทางการยกระดับการกำกับดูแลเพิ่มเติ่มในส่วนของการกำกับดูแลการซื้อขาย
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยสิ้นเดือน พ.ย.2566 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,380.18 จุด ปรับลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าปรับลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า มูลลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 45,804 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 28.9% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 11 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 54,399 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สิบ
ขณะที่ Forward P/E อยู่ที่ระดับ 16.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า
ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงแรงในช่วงนี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเหตุการณ์ตลาดโลก ทั้งความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ การปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED และราคาน้ำมัน กระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงกระทบไทยค่อนข้างแรง ส่งผลให้ความสามารถการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ลดลงจากประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้าถูกนักวิเคราะห์ปรับลดลงต่อเนื่องจากต้นปีนี้ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไม่ดึงดูดใจผู้ลงทุน
รวมถึงปริมาณการซื้อขาย โดยเฉพาะการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ เริ่มเบาบางลง มีการขายทำกำไรก่อนช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ส่วนทางด้านกองทุนรวมTHAI ESG ที่เริ่มขายแล้วตั้งแต่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมานี้ซึ่งวอลุ่มถึงสิ้นปีนี้อาจยังเข้ามาไม่มาก แต่คาดหวังหวังเป็นตัวช่วยให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นได้บ้าง
อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนคาดว่า FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมในเดือน ธ.ค. (13 ธ.ค.2566)และคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือน มี.ค.ปีหน้า ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐอ่อนตัวลงและเห็นเงินทุนไหลเข้าในสินทรัพย์เสี่ยง
หากปี 2567 ปัจจัยลบเหล่านี้คลี่คลายมากขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากการใช้งบประมาณภาครัฐและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจประกอบกับความแข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่หนี้สาธารณะของไทยยังดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่กระทบจากโควิด-19 เศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตดีกว่าปีนี้ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น บจ.ไทยจะมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น จากผลประกอบการที่ดีขึ้นโดยตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ก็จะปรับตัวดีขึ้นด้วย
ดังนั้นขณะนี้ยังคงต้องรอดูว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างไร และยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามในปีหน้าทั้งการปรับลดลงอัตราดอกเบี้ยของ FED ได้เมื่อไหร่ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์จะขยายวงกว้างหรือไม่ และหากราคาน้ำมันปรับขึ้นจะกดดันต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือไม่