ทริสเรทติ้งเพิ่มเครดิตองค์กร BCP เป็น A+ / BSRC - BBGI ขึ้นด้วย ส่วน BCPG คงเดิม

ทริสเรทติ้งเพิ่มเครดิตองค์กร BCP เป็น A+ / BSRC - BBGI ขึ้นด้วย ส่วน BCPG คงเดิม

"ทริสเรทติ้ง" เพิ่มเครดิตองค์กร BCP จาก “A” เป็น “A+” แนวโน้มอันดับเครดิตที่ "คงที่" สูงสุดนับตั้งแต่ได้รับการจัดอันดับเครดิต อีกทั้งเพิ่มเครดิต BSRC และ BBGI ขึ้นด้วยเป็น “A+” และ “A” ตามลำดับสอดคล้องบริษัทแม่ ส่วน BCPG คงไว้ที่ “A” ตามเดิมระบุมีส่วนแบ่งรายได้ให้กลุ่มลดลง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ทริสเรทติ้ง) อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ  “บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP)” เป็นระดับ “A+” จากระดับ “A” พร้อมทั้งเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทเป็นระดับ “A-” จากระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นภายหลังจากประสบความสำเร็จในการบูรณาการการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจการตลาด ควบคู่ไปกับการขยายการดำเนินงานในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 

การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงประโยชน์จากการบูรณาการธุรกิจในแนวดิ่งในกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและการกระจายการลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีความอ่อนไหวเพิ่มขึ้นต่อความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น รวมถึงความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น 

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) เข้ามาในกลุ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ซึ่งการได้มาซึ่งกิจการดังกล่าวทำให้บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 6.0-7.0 พันล้านบาทต่อปีโดยมีกำลังการผลิตของโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าสองเท่าและมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นผ่านธุรกิจการตลาดที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น 
 

ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Crude Run) โดยรวมของโรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 260-275 KBD (พันบาร์เรลต่อวัน) จาก 110-120 KBD ส่วนปริมาณการขายผ่านช่องทางการตลาดก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นประมาณ 12,900 ล้านลิตร ในปี 2567 จาก 6,500 ล้านลิตรในปี 2566

ในอนาคตข้างหน้าทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทยังคงมีศักยภาพในการเพิ่มกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นและการตลาดโดยได้รับแรงหนุนจากประโยชน์ของการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานร่วมกันระหว่างโรงกลั่นทั้งสองแห่ง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการเลือกน้ำมันดิบและปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนในด้านโลจิสติกส์โดยผ่านการจัดเขตเครือข่ายการจัดส่งน้ำมันใหม่ การจัดซื้อและรับน้ำมันดิบร่วมกัน และการใช้บริการงานสนับสนุนขององค์กรร่วมกัน

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นยังเกิดจากการขยายขนาดของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านการดำเนินงานของ OKEA ASA (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์ โดย OKEA มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 28.2 KBOED (พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน)  ในปี 2566 จากประมาณ 15.8-16.3 KBOED ในปี 2564-2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณการขายของ OKEA จะเพิ่มขึ้นอีกไปที่ระดับ 29-36 KBOED ในปี 2567-2569 

โดยได้รับแรงหนุนจากการซื้อสัดส่วนการลงทุนในแหล่งผลิต Statfjord มาในปลายปี 2566 รวมถึงแผนการลงทุนของ OKEA ทั้งนี้ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและการตลาดรวมทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นน่าจะช่วยรองรับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันได้ดีขึ้น 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินทรัพย์ดำเนินงานที่กระจายตัวในหลากหลายพื้นที่มากขึ้นซึ่งช่วยให้บริษัทมีแหล่งกำไรที่สมดุลมากขึ้นและจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อกำไรโดยรวมจากการหยุดชะงักใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งได้ 

พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้ง ยังได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) เป็นระดับ “A+” จากระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” 

โดยการเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นไปตามการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทแม่คือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ซึ่งเพิ่มเป็น “A+/Stable” จาก “A/Stable” และเนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็น “บริษัทย่อยหลัก” (Core Subsidiary) ของกลุ่ม BCP อันดับเครดิตของบริษัทจึงอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของ BCP

และเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI) เป็นระดับ “A” จากระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”  

โดยการเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นไปตามการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทแม่คือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ซึ่งเพิ่มเป็น “A+/Stable” จาก “A/Stable” โดยอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทบีบีจีไอได้รวมการปรับเพิ่มอันดับเครดิต 3 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Standalone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ “bbb” เพื่อสะท้อนสถานะการเป็น ‘บริษัทที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์’ ของกลุ่ม BCP ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทจะถูกจำกัดไว้ไม่เกินหนึ่งระดับที่ต่ำกว่า ‘อันดับเครดิตของกลุ่มธุรกิจ’ (Group Credit Profile -- GCP) ของ BCP ที่ระดับ “a+”

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทที่ระดับ “bbb” ยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพของประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากความมั่นคงในการจัดหาวัตถุดิบและความต้องการซื้อภายในกลุ่มจากผู้ถือหุ้นหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังมีแนวทางในการลงทุนและจัดหาเงินทุนที่รอบคอบอีกด้วย

ขณะที่ยังคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” เช่นเดิม 

ปรับเปลี่ยนสถานภาพของบริษัทที่มีต่อกลุ่ม BCP ให้ลดลงจากการเป็น “บริษัทย่อยหลัก” มาเป็น “บริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับสูง” ซึ่งสะท้อนถึงการที่บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ให้แก่กลุ่มที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและส่งผลให้อันดับเครดิตของบริษัทในปัจจุบันต่ำกว่าอันดับเครดิตกลุ่ม (Group Credit Profile – GCP) ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) (อันดับเครดิต “A+/Stable”) อยู่ 1 ขั้น ในขณะที่อันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile – SACP) ของบริษัทนั้นยังคงอยู่ที่ระดับ “bbb+” เช่นเดิม

ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะยังคงสะท้อนถึงกำไรที่มั่นคงของบริษัทซึ่งได้รับแรงหนุนจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement -- PPA) และพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่มีการกระจายตัวดี อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตเฉพาะดังกล่าวก็ถูกลดทอนจากความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้บรรลุเป้าหมายและแนวโน้มที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลาประมาณการ