จับตา‘บจ.เล็ก’ขอยืดคืนหุ้นกู้ ThaiBMA ชี้ ‘ต้นทุนยังสูง -ศก.ฟื้นช้า’ 

จับตา‘บจ.เล็ก’ขอยืดคืนหุ้นกู้ ThaiBMA ชี้ ‘ต้นทุนยังสูง -ศก.ฟื้นช้า’ 

ThaiBMA เผยยังติดตามการดำเนินงาน “บจ.เล็ก” ช่วงโค้งท้ายปี67หลัง “แบกต้นทุนสูง” และ “รอเศรษฐกิจฟื้น” ชี้หากงบไม่ดีอาจเสี่ยงเกิดปัญหา “ขอยืดจ่ายหุ้นกู้” เชื่อไม่กระทบวงกว้าง พร้อมมองปัญหาหุ้นกู้คลายตัวดีขึ้น 9 เดือน ยืดจ่ายหนี้ 12 บริษัท 2.6 หมื่นล้าน เป็นรายใหม่ 8 บริษัท

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ช่วงที่เหลือของปี 2567 ยังติดตามกลุ่มบริษัทรายเล็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ผลการดำเนินงานของบริษัทกลุ่มนี้ อาจมีโอกาสออกมาไม่ดี ทำให้มีความเสี่ยงเกิดปัญหาไม่สามารถชำระคืนหุ้นกู้ครบกำหนดได้

โดยปัญหาดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นกระจายตัวไปหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นกลุ่มที่ต้องติดตามมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่มีการออกหุ้นกู้มากที่สุด และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบทิศทาง ทั้งภาวะต้นทุนยังสูงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ย ค่าแรง และเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี

จับตา‘บจ.เล็ก’ขอยืดคืนหุ้นกู้ ThaiBMA ชี้ ‘ต้นทุนยังสูง -ศก.ฟื้นช้า’ 

“เราเน้นการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทรายเล็กในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเอาข้อมูลบริษัทมาพิจารณาได้เร็ว ให้บริษัทมีการเตรียมตัวสื่อสารกับตลาด และเตรียมแผนบริหารจัดการหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เปิดประชุมเจรจากับผู้ถือหุ้นกู้ ขอผ่อนผันเลื่อนระยะเวลาเวลาชำระหนี้หุ้นกู้ครบกำหนด และให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น รวมถึงวิธีการหาแหล่งเงินอื่นๆ มาเสริมสภาพคล่องและชำระคืนหนี้หุ้นกู้ตามเงื่อนไขใหม่ที่ได้เจรจาไว้กับผู้ถือหุ้นกู้”

เนื่องจากที่ผ่านมาในปีนี้ พบว่า ปัญหาหุ้นกู้เกิดขึ้นจากสาเหตุหลัก คือ “ธุรกิจขาดสภาพคล่อง” โดยเฉพาะกับบริษัทเล็ก พบรายใหม่ๆ เกิดขึ้น มักจะสภาพคล่องตึงตัวและมีสายป่านไม่ได้ยาวอยู่แล้ว เมื่อเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าหลังวิกฤติโควิด-19 และภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบไม่ทัน หรือมีเหตุการณ์ไม่ตลาดคาดคิดมากก่อน ส่งผลกระทบต่อเซนทริเม้นต์เชิงลบในตลาดภาพรวม นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นได้

สำหรับในช่วง 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) หุ้นกู้ที่มีปัญหา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 28,766 ล้านบาท แบ่งเป็นมีหุ้นกู้ผิดนัดชำระรวม 1,876 ล้านบาท จากผู้ออก 4 ราย ได้แก่ บริษัท พี พี ฮอลิเดย์ จำกัด (PPH) 1 รุ่น มูลค่า 392 ล้านบาท , บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด (CISSA) 1 รุ่น มูลค่า 217 ล้านบาท , บริษัท ไอริส กรุ๊ป (IRIS) 4 รุ่น จำนวน 859 ล้าบาท และ บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) 1 รุ่น จำนวน 408 ล้านบาท ไม่กระทบวงกว้างเหตุเป็นบริษัทขนาดเล็ก

ส่วนจำนวนหุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระ มีมูลค่ารวม 26,890 ล้านบาท จากผู้ออก 12 ราย เป็นผู้ออกที่เคยเลื่อนกำหนดชำระ 8 รายใหม่ ได้แก่ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) 5 รุ่น มูลค่า 14,455 ล้านบาท, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) 4 รุ่น 6,200 ล้านบาท , บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) (NWR) 2 รุ่น 912 ล้านบาท , บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) 1 รุ่น 570 ล้านบาท ,บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) (APCS) 1 รุ่น 385 ล้านบาท , บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (GLOCON) 1 รุ่น มูลค่า 300 ล้านบาท , บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) (PROEN) 1 รุ่น มูลค่า 500 ล้านบาท,บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) 1 รุ่น มูลค่า 389 ล้านบาท ,

และเป็นผู้ออกที่เคยเลื่อนกำหนดชำระมาก่อน 4 ราย ได้แก่ บริษัท สยามนุวัตร จำกัด (SNW) 3 รุ่น มูลค่า 520 ล้านบาท , บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ( JCK) 2 รุ่น มูลค่า 612 ล้านบาท , บริษัท เจซี เควิน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (JCKD) 1 รุ่น มูลค่า375 ล้านบาท , บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (CGD) 2 รุ่น มูลค่า 1,627 ล้านบาท

ทั้งนี้ ย้อนไปในปี 2566 หุ้นกู้ที่มีปัญหา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 28,806 ล้านบาท มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระ 22 รุ่น จากผู้ออก 5 ราย มูลค่ารวม 16,363 ล้านบาท และ มีหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระ 37 รุ่น จากผู้ออก 14 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 12,443 ล้านบาท

นางสาวอริยา กล่าวต่อว่า ตอนนี้สถานการณ์หุ้นกู้ที่มีปัญหาคลายตัวในทิศทางดีขึ้น และความเสียหายไม่กระทบวงกว้างส่วนใหญ่หุ้นกู้มีปัญหาจะเป็นการเลื่อนกำหนดชำระ โดยมีรายใหม่ 2 ราย คือ ITD เมื่อต้นปี และ EA เมื่อช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มูลค่ารวมคิดเป็น 70% ของมูลค่าหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระคืนทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาสามารถแก้ไขปัญหาเจรจากับผู้ถือหุ้นกู้ได้อย่างราบรื่น ดังนั้น มองว่าหากบริษัทยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไป มีรายได้และกำไรเข้ามาต่อเนื่อง รวมถึงสามารถระดมเงินทุนใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง ได้ตามแผนที่วางไว้ และเศรษฐกิจฟื้นตัวดี รัฐเร่งการเบิกจ่ายโครงการลงทุนต่างๆ มองว่าในปี 2568 น่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ยังต้องติดตาม

ส่วนอีก 6 รายใหม่ ที่ขอเลื่อนกำหนดชำระ มูลค่ารวมไม่มาก และอีก 4 รายเดิมที่เหลือ ยังไม่มีสถานการณ์ที่เซอร์ไพร์ส มูลค่าเฉลี่ยที่ขอเลื่อนกำหนดชำระเป็นหลักร้อยล้านบาทต่อรายนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ในภาพรวมมาก เหมือนกับกรณี ITD และ EA