MORE ขาย ‘มอร์ พร็อพเพอร์ตี้’ ให้ ‘เผด็จ ภูรีปติภาน’ มูลค่า 330 ล้าน
ที่ประชุมบอร์ด MORE มีมติขายหุ้น “มอร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์” ให้แก่ “เผด็จ ภูรีปติภาน” จำนวน 48 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 6.82 บาท คิดเป็น 330 ล้านบาท ทยอยโอนหุ้นตามงวดจ่ายเงินภายใน 3 ปี หวังเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในโครงการต่างๆ
บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติให้ขายหุ้นของ บริษัท มอร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (PROP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทั้งหมดจำนวน 48,399,993 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนหุ้น 99.99% มูลค่าที่ตราไว้ (PAR) หุ้นละ 10.00 บาท มูลค่าสุทธิทางบัญชี (NBV) หุ้นละ 6.50 บาท โดยมีราคาจำหน่ายในราคาหุ้นละ 6.82 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 330,000,000 บาท ให้แก่ นายเผด็จ ภูรีปติภาน ซึ่งเป็นนักธุรกิจ และนักสื่อสารมวลชนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และราคาที่จำหน่ายอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อจะหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนได้ ฯ
โดย MORE ยังคงถือหุ้นใน PROP ร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว และมีอำนาจควบคุมรวมถึงมีส่วนแบ่งรายได้จากการดำเนินงานของ PROP และจะทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นลงตามจำนวนเงินที่ผู้ซื้อได้มีการจ่ายชำระเงินค่าหุ้นให้กับ MORE และ MORE ได้ทำการโอนหุ้นสามัญ PROP ให้กับผู้ซื้อตามจำนวนที่จ่ายชำระดังกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าของเงินลงทุน PROP ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ในงบการเงินรวมของ MORE ซึ่งได้แสดงมูลค่าเป็นจำนวน 314.39 ล้านบาท ดังนั้น การจำหน่ายเงินลงทุนในหุ้นสามัญของ PROP ในครั้งนี้ บริษัท MORE จะรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 15.61 ล้านบาท โดย คาดว่าจะดำเนินธุรกรรมการจำหน่ายเงินลงทุนให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี การโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นสามัญที่ซื้อขาย MORE จะทำการโอนหุ้น PROP ให้กับผู้ซื้อตามจำนวนที่ผู้ซื้อได้จ่ายชำระดังกล่าวภายใน 14 วันนับจากวันที่ MORE ได้รับชำระค่าหุ้น
การขายหุ้นสามัญของ PROP จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในโครงการต่างๆ ในช่วงเวลา 1-3 ปี ระหว่างที่บริษัทไม่สามารถระดมเงินทุนจากการเพิ่มทุนได้ ซึ่งจะทำให้ MORE มีสภาพคล่องจากเงินสดที่จะได้รับจากการจำหน่ายเงินลงทุนในหุ้นสามัญ PROP ในครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนและดำเนินโครงการต่างๆ ตามแผนการรวมถึงเพื่อลงทุนสร้างโอกาสการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง