ผวา ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ รายได้ทรุด ปมนโยบายรัฐจ่อ ‘ลดค่าเอฟที’ เหลือ 3.70 บาท กดหุ้นไทยร่วง 12 จุด
ผวา ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ รายได้ทรุด ปมนโยบายรัฐจ่อ ‘ลดค่าเอฟที’ เหลือ 3.70 บาท กดหุ้นไทยร่วง 12 จุด “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ชี้ GPSC - BGRIM ร่วงแรง เหตุรายได้จากประเภท SPP มากสุด
“กลุ่มโรงไฟฟ้า” กดดัน “หุ้นไทย” ร่วง 12 จุด หลังกังวลรัฐบาลเตรียมหั่นค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย นำโดย “GPSC-BGRIM” ราคาหุ้นร่วงแรงกว่า 8% “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” รับกระทบรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP มากสุด “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” ชี้นโยบายรัฐส่งผลเซนติเมนต์เชิงลบ “บล.พาย” มองกลุ่มโรงไฟฟ้าอยู่ในจุดอิ่มตัว เติบโตใหม่ๆ ไม่ค่อยมามาก
หลังจากที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดถึงกรณีการปรับลดค่าไฟลงเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพรวมของ “กลุ่มโรงไฟฟ้า” ทันที สะท้อนผ่านราคาหุ้น 7 โรงไฟฟ้า ปรับตัวลดลงตลอดทั้งวัน (6 ม.ค.2568) เนื่องจากส่งผลให้ทิศทางผลดำเนินงาน “ผันผวน” โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เนื่องจากรายได้ที่ได้รับเป็นในส่วนของค่าเอฟทีเป็นส่วนประกอบถ้าลดค่าเอฟทีก็จะทำให้ “รายได้” ลดลง
สอดรับกับความเคลื่อนไหว “ดัชนีหุ้นไทย” วานนี้ (6 ม.ค.2568) ปรับตัวลดลงแรง 12.11 จุด หรือ 0.87% ทำดัชนีอยู่ที่ 1,372.65 จุด มูลค่าการซื้อขาย 37,212 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่กดดันดัชนีได้แก่ “7 หุ้นโรงไฟฟ้า” ที่ร่วงแรงตลอดทั้งวัน นำทีมโดย บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC ร่วง 8.05% อยู่ที่ 34.25 บาท บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM ร่วง 7.89% อยู่ที่ 17.50 บาท บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ร่วง 2.17% อยู่ที่ 56.25 บาท
บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ GUNKUL ร่วง 2.75% อยู่ที่ 2.12 บาท บมจ. ราช กรุ๊ป หรือ RATCH ร่วง 1.71% อยู่ที่ 28.75 บาท บมจ. บ้านปู เพาเวอร์ หรือ BPP ร่วง 1.94% อยู่ที่ 10.10 บาท และ บมจ.ผลิตไฟฟ้า จำกัด หรือ EGCO ร่วง 1.74% อยู่ที่ 113 บาท
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากมีการปรับลดค่าไฟฟ้าจริง คาดว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ก็จะได้รับผลกระทบ ดังจะเห็นได้ หุ้น GPSC กับ BGRIM ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะมีความเสี่ยงจากประเด็นดังกล่าวมากระทบ แต่การปรับตัวย่อลงมาถือว่าเป็นการเข้าไปสะสมได้ เพียงแต่ว่า ภาพของกลุ่มอาจจะดูเหวี่ยง เนื่องจากราคาบริเวณแถวนี้ค่อนข้างโอเวอร์โซล สามารถเข้าไปซื้อได้ แต่เป็นแค่เทรดดิ้งเล่นรีบาวด์ระยะสั้น และถ้ามองหุ้น GPSC จะดูดีสุด
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเดิมถือเป็นหุ้นปลอดภัย แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาพของการเป็นหุ้นปลอดภัยปรับตัวลดลง แต่ปัจจุบันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาในเรื่องของการกำกับดูแล เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากที่มาของภาครัฐหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะกระทบในเรื่องของรายได้ ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้านี้จะมีการปรับลดค่าไฟ หรือ ค่าเอฟทีลง
ล่าสุด หากพิจารณาดูแนวโน้มค่าไฟในปัจจุบัน โอกาสที่จะปรับลดจาก 4 บาท ไม่ได้ง่ายนัก แต่เมื่อที่การแสดงความคิดเห็นของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่จะปรับลดลงมาที่ 3.70 บาท ทำให้ความเสี่ยงที่อาจประเมินไม่ถูกว่า จะมีส่วนใดบ้างที่จะทำให้มีการปรับลดค่าไฟลงไปได้ และหากปรับลดลงมาได้จริงระดับ 3.70 บาท แน่นอนจะส่งผลกระทบหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วนรายได้จากขนาดกลาง-ขนาดเล็ก (SPP) เนื่องจากรายได้ที่ได้รับเป็นในส่วนของค่าเอฟทีเป็นส่วนประกอบถ้าลดค่าเอฟทีก็จะทำให้รายได้หายไป
อย่างไรก็ตาม ได้มีการประเมินกันไว้ว่าในปีนี้กลุ่มโรงไฟฟ้าน่าจะกลับมาดีขึ้น หลังจากที่ราคาพลังงานเริ่มนิ่งแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ต้นทุนราคาพลังงานจากปัจจุบันอาจจะลงได้ไม่มาก โดยหุ้นที่เป็นโรงไฟฟ้า SPP จะปรับตัวลงมาแรงอย่าง GPSC ซึ่งมีรายได้จาก SPP ค่อนข้างสูงที่สุด ขณะที่ BGRIM มีสัดส่วน SPP รองลงมา และตามมาด้วย GULF ทำให้หุ้นปรับลดลงมา
ขณะที่หุ้นที่มี SPP น้อยจะเป็นหุ้น RATCH กับ EGCO ซึ่งเงินปันผลอยู่แถวระดับ 5% และมีความเสี่ยงจากการกำกับดูแล หรือโอกาสโดนปรับลดค่าไฟ SPP ในสัดส่วนที่น้อยมาก
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายที่หลายๆ รัฐบาลต้องการทำคือ ปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมารายได้ของคนไทยไม่ได้มีการเติบโตมาก เนื่องจากว่าจีดีพีไทยเติบโตแค่ 2-3% ซึ่งจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายช่วยลดค่าใช้จ่าย และการลดที่ดีที่สุดคือ ช่วยเรื่องน้ำ ไฟให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าในช่วงหลังมาดีกลุ่มโรงไฟฟ้า หากไม่นับที่ GULF ที่มีการปรับเปลี่ยนมาลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ กลุ่มนี้ไม่ค่อยมีการเติบโตมาก พักหลังโรงไฟฟ้าหลายๆ โรงไม่ได้มีการลงทุนเพิ่ม หรือบางโรงอาจจะมีการลงทุนในต่างประเทศ แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นอกจากนี้กลุ่มโรงไฟฟ้าโดนรับผลกระทบจากบอนด์ยีลด์ที่ปรับขึ้นมา ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ปรับลดลงมามาก และคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยเฟดน่าจะปรับลดแค่ครั้งเดียวในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า
“กลุ่มโรงไฟฟ้าอยู่ในจุดที่อิ่มตัว การเติบโตใหม่ ๆ ไม่ค่อยมามาก ประกอบรายได้เริ่มหายไปบ้าง และรัฐบาลกลับมาเพ่งเล็งในส่วนนี้ทำให้หุ้นปรับลงมา”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์