‘หุ้นจีน‘ เปิดปี 68 ร่วงไปแล้ว 5% ความท้าทายรอบด้านกดตลาดซบเซาสุดรอบ 9 ปี
‘หุ้นจีน‘ เริ่มต้นปี 68 ร่วงไปแล้ว 5% ซบเซาสุดในรอบ 9 ปี เข้าสู่ ‘ตลาดหมี‘ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งเงินฝืด สงครามการค้าในยุค ’ทรัมป์‘ บจ.โดนแบล็กลิสต์ ฉุดเงินทุนไหลออกกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานความเคลื่อนไหว หุ้นจีน โดยดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีมาตรฐานของหุ้นภายในประเทศจีน ได้ร่วงลงมากกว่า 5% ใน 7 วันทำการแรกของปี 2568 ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดในช่วงเริ่มต้นปีนับตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งในปีนั้น ตลาดหุ้นจีน ทำผลงานทั้งปี -11%
ในปีนี้ นักลงทุนมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับภัยคุกคามจากการขึ้นภาษีที่เพิ่มขึ้นภายใต้การดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าอาจกระทบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ดัชนี MSCI China Index ลดลงต่อเนื่องจากระดับสูงสุดในเดือนตุลาคม ทำให้ดัชนีลดลง 20% เข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐได้ ขึ้นบัญชีดำ บริษัท Tencent Holdings Ltd. และ Contemporary Amperex Technology Co. Ltd. เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน และในขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนกำลังพิจารณาการควบคุมการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์อีกครั้ง
เงินทุนไหลออก 3.5 พันล้านดอลลาร์
บรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากผลสำรวจอย่างไม่เป็นทางการของผู้จัดการกองทุนและนักกลยุทธ์ชาวจีนที่จัดทำโดย Bloomberg พบว่าตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้ตอบแบบสอบถาม 10 จาก 15 คนระบุว่า พวกเขาเห็นโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดในไตรมาสแรกในสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลจีน และดอลลาร์มากกว่าหุ้นภายในประเทศ
ชารุ ชานานา นักกลยุทธ์การลงทุนระดับสูงของ Saxo Markets กล่าวถึงแรงกดดันภายนอกที่รุนแรงยิ่งขึ้นและปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของจีน รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และปัญหาหนี้สินที่กำลังคืบคลานเข้ามา ทำให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น
ตลาดหุ้นจีน ที่ดิ่งลงในช่วงนี้เป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต่างพากันขายหุ้นออกไป ซึ่งต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นเคยฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วช่วงสั้นๆ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามออกมาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจ แต่มาตรการเหล่านั้นยังไม่เพียงพอ
เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งหมายความว่าราคาสินค้าและบริการแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคในจีนลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้งก็ตาม
ข้อมูลล่าสุดจาก Morgan Stanley ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยถอนเงินออกจากตลาดหุ้นจีน โดยกองทุนถอนเงินออกไปรวม 3.5 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม รวมทั้งระบุว่ากองทุนของรัฐบาลจะเป็นแหล่งเงินทุนใหม่หลักที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นภายในประเทศของจีนในปีนี้ มากกว่านักลงทุนรายย่อยหรือระดับโลก
ในอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสนใจที่ลดลง คือ จำนวนของออปชั่นซื้อขายล่วงหน้า (put and call options) ที่ค้างอยู่ของดัชนีหลักของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงระมัดระวังและรอคอยความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาลก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอย่างเต็มที่ เจสัน หลุย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์หุ้นและอนุพันธ์ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ BNP Paribas กล่าว
การสำรวจอย่างไม่เป็นทางการของ Bloomberg ระบุว่า ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 และเสริมว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็นความเสี่ยงสูงสุดสำหรับหุ้นจีนในปีนี้
ขณะนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่การประชุมสภาประจำปีของจีนในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดว่าทางการจะเปิดเผยเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่สำคัญและนโยบายโดยละเอียด ในขณะที่ธนาคารกลางได้ส่งสัญญาณถึงความพยายามเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยและการผ่อนคลายสภาพคล่องมากขึ้น ความสนใจของนักลงทุนยังคงอยู่ที่ว่า ปักกิ่งจะนำมาตรการกระตุ้นการคลังที่เข้มแข็งกว่านี้หรือไม่
เฉิน เหมง ผู้อำนวยการของ Chanson & Co. ธนาคารเพื่อการลงทุนขนาดเล็กในกรุงปักกิ่งกล่าว กุญแจสำคัญคือมาตรการเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่เศรษฐกิจจีนเผชิญอยู่ได้หรือไม่ เพราะ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนดำเนินการมาจนถึงขณะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนได้