20 หุ้นเก็งรับแรงซื้อกลับ หลังดันกองทุน LTF รีเทิร์น

ปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี คือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่ครบกำหนดอายุไถ่ถอนครบทุกปีปฎิทินทำให้มีเม็ดเงินพร้อมที่จะออกจากตลาดหุ้น ด้วยบรรยากาศตลาดหุ้นที่ที่เผชิญปัจจัยลบต่างประเทศและในประเทศที่ไทยเผชิญการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ไม่เต็มที
รวมไปถึงกระแสข่าวของ บจ. ในตลาดหุ้นที่ “กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลายระลอก” ยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นขาลงปรับตัวลดลงมากถึง 11 % จากปลายปี 2567 และทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนติดลบไปโดยปริิยาย โดยเฉพาะกองทุน LTF จนเกิดการแพนิกเทขายออกมา ม.ค. 2568 ถึง 1.8 หมื่นล้านบาท
ดังนั้งจึงมีการ “เรียกร้องให้ทบทวนนำกองทุน LTF กลับมาด้วยการให้สิทธิทางภาษีเหมือนในอดีต” ซึ่งสัญญาณบวกจากกระทรวงการคลังรับพิจารณาจะโยกเงินจากกองทุน LTF ที่ครบอายุมายังกอง ThaiESG กองใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนและดำเนินการได้ภายในครึ่งปีแรก 2568 ส่งผลทำให้แรงขาย LTF ค่อย ๆ ลดแรงกดดันลง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุSET Index ปรับลง -9.15% YTD ส่วนหนึ่งมาจากแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศซึ่งมาจากการไถ่ถอน LTF ที่ปีนี้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถไถ่ถอนได้ออกมาได้ทั้งหมด ซึ่งในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา แรงขายจาก LTF สูงมากถึง 1.95 หมื่นล้านบาท
หากพฤติกรรมคล้ายเดิม 3ปีที่ผ่านมา ที่การไถ่ถอน LTF จะอยู่ในเดือน ม.ค.คิดเป็น 29% ของมูลค่าไถ่ถอนทั้งหมดในแต่ละปี หมายความว่าแรงขาย LTF ปีนี้อาจสูงถึง 6.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่และมากกว่าปีก่อนถึง 77%YoY หากไม่มีการออกมาตรการใดเพิ่มเติมถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่กดดันต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้
โดย ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2568 มูลค่า NAV คงค้างของ LTF อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาทการฟื้น LTF ช่วยลดแรงขายได้ไปอีกขั้นต่ำ 5ปี ล่าสุด รมว.คลังเผยอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางปรับปรุงเกณฑ์การโอนย้ายกองทุน LTF เข้ามาลงทุนTESG ใหม่โดยจะพิจารณาสิทธิประโยชน์ต่างๆ ควบคู่ไปกับการปรับนโยบายการลงทุนของ TESG ที่คาดว่าเพิ่มสัดส่วนในหุ้นไทยมากขึ้น
ด้านระยะเวลาถือครองน่าจะอยู่ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งความชัดเจนจะไม่เกินในเดือน ก.ย. 2568 ในมุมมองประเมินว่าหากความชัดเจนออกมายิ่งได้เร็วและผลประโยชน์ทางภาษีที่จูงใจจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงขาย LTF ได้อย่างมีนัยสำคัญไปอย่างน้อย 5ปีหรือเท่ากับช่วงระยะเวลาขั้นต่ำที่ให้ถือครองเพื่อแลกสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี
ทั้งนี้ระยะสั้นมีสัญญาณบวกจากแรงขาย LTF ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 628 ล้านบาท ลดจากช่วงต้นสัปดาห์ที่อยู่ระดับ 926 ล้านบาท “หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการโอนหน่วยจาก LTF เป็นTESG ใหม่” ได้ประเมินหุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการโอนหน่วยลงทุน LTF ไปเป็นกอง TESG ใหม่ (แต่หน้าหุ้นเก่า)
โดยเชื่อว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์หลักๆ 2 ส่วนคือ 1.หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนัก(Reweight) เมื่อเปลี่ยนจากกอง LTF ไปเป็น TESG ใหม่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์คือหุ้นที่มีสัดส่วน TESG ถือครองในสัดส่วนมากกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนการถือครองของ LTF เช่น BDMS กองทุน TESG ลงทุนสัดส่วน 4.9% ของ NAV เทียบกับ LTF ที่ถือครอง 3.0%
หากอยู่บนสมมติฐานกองทุน TESG ให้คงสัดส่วนการลงทุนหุ้นรายตัวคล้ายเดิม เมื่อมีการโอนย้ายจากกอง LTF เป็น TESG จะเห็นการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน BDMS มากขึ้น +1.9% ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลสถานะการลงทุนของ LTF และ TESG ในเดือน ก.ย.2567 ประเมินหุ้นที่ได้ประโยชน์ 5 อันดับแรก คือ BDMS (เพิ่มน้ำหนัก +1.9%) SCC (+1.8%) TRUE (+1.3%) PR9 (+1.2%) INTUCH (+1.1%)
2.หุ้นที่มีการลงทุนเฉพาะในกอง TESG แต่ไม่มีในกองทุน LTF เพราะเมื่อโอนย้ายจากกองทุน LTF เป็น TESG ก็จะมีเม็ดเงินใหม่เข้าลงทุนทันที ซึ่งจะมีหุ้นที่ประโยชน์จากกรณีนี้คือ JMART (เพิ่มน้ำหนัก +0.04%) NER (+0.006%) ACE (+0.004%) และ III (+0.002%)