CPF กำไรฟื้นปี 67 เฉียด 2 หมื่นล้าน โต 476 % ปันผล 0.55 บาท XD 8 พ.ค.68

CPF กำไรฟื้นปี 67 เฉียด 2 หมื่นล้าน โต 476 % ปันผล 0.55 บาท XD 8 พ.ค.68

CPF รายงานกำไรปี 2567 ที่ 1.9 หมื่นล้านโต 476% อานิสงส์ต้นทุนลด - ราคาเนื้อสัตว์เพิ่ม และไม่มีบันทึกพิเศษ แต่รับรู้กำไรธุรกิจลงทุนเพิ่ม 177% ผู้บริหาร คาดปี 2568 เน้นบริหารต้นทุน - ค่าใช้จ่ายรักษาการเติบโต เตรียมจ่ายปันผล 0.55 บาท XD 8 พ.ค.68

KEY

POINTS

          

           บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน)  หรือ CPF  รายงานผลประกอบการปี 2567  ซึ่งมีการลงทุน และร่วมลงทุนในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และอาหารใน 17 ประเทศ รวมทั้งมีการค้าผลิตภัณฑ์อาหารไปมากกว่า 50 ประเทศ 

         บริษัทมีรายได้จากการขายในปี  2567 จํานวน 580,747 ล้านบาท เป็นส่วนของกิจการต่างประเทศ  63 %  และกิจการประเทศไทย  37 %  รายได้จากการขายนี้ลดลง 1 % จากปีก่อน เป็นผลมาจาก 1. ยอดขายของธุรกิจไก่ในประเทศจำนวนลดลงจากการที่บริษัทจําหน่ายธุรกิจไก่ครบวงจรบางส่วนในช่วงปลายปี 2566

         และ 2. ไม่มีการบันทึกยอดขาย ของประเทศโปแลนด์ตั้งแต่ไตรมาส  2 ปี 2567 เนื่องจากมีการปรับสัดส่วนการลงทุนของบริษัทใน CPF Poland S.A. ทําให้ เปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมในไตรมาส 1 ปี 2567

         ทั้งนี้หากไม่นับรวมรายการดังกล่าว รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น  2 %  จากปีก่อน จากกิจการในหลายประเทศที่มีระดับราคาสินค้าที่ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2566 โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม กัมพูชา และ ฟิลิปปินส์

         

       กําไรสุทธิในส่วนของบริษัท ปี 2567 จำนวน 19,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 476 %  เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 5,207 ล้านบาท จากปัจจัยดังนี้ 1. ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ลดลงเนื่องจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ และการจัดหาวัตถุดิบที่ดีขึ้น

           2. ระดับราคาสุกรในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศเวียดนามมีการปรับตัวดีขึ้นจากระดับที่ต่ำ จากภาวะสุกรล้นตลาดในปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากมีความสมดุลของปริมาณสุกรในตลาด และความต้องการบริโภคดีขึ้น

          รวมถึงภาวะโรคระบาดในสุกรที่เกิดขึ้นในบางประเทศในช่วงปลายปี  2567 ที่ทําให้ ปริมาณสุกรในตลาดลดลง 3 .ส่วนได้ในกําไรของบริษัทร่วม และการร่วมค้าจํานวน 12,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 177 % โดยหลักมาจากผลการดําเนินงานของบริษัทร่วมในประเทศจีนที่ดําเนินธุรกิจอาหารสัตว์ และสุกร บริษัท ซีพี ออลล์  จํากัด (มหาชน) และบริษัทร่วมในประเทศแคนาดา ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

           พร้อมกันนี้คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้บริษัทไม่ต้องจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีเป็นทุนสำรองตามกฎหมายเพิ่มเติมอีก เนื่องจากทุนสำรองดังกล่าวมีจำนวนครบตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานของบริษัท ประจำปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท

         โดยบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกเป็นเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นเงินปันผลจ่ายครั้งแรกจำนวนทั้งสิ้น 3,709 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 คณะกรรมการจึงขอเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาการจ่ายเงินปันผลครั้งที่สองในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท คิดเป็นเงินปันผลจ่ายครั้งที่สองจำนวนประมาณ 4,534 ล้านบาท (คำนวณจากจำนวนหุ้นที่ออกทั้งหมดของบริษัทหักด้วยหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 170,507,800 หุ้น)

          เมื่อรวมกับเงินปันผลครั้งแรกที่บริษัทได้จ่ายไปในระหว่างปี 2567 จะรวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 8,243 ล้านบาท หรือคิดเป็น  42 %  ของกำไรสุทธิประจำปี 2567 (ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ตามงบการเงินรวม)  ได้เสนอให้วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผลครั้งที่สอง เป็นวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568

           CPF กำไรฟื้นปี 67 เฉียด 2 หมื่นล้าน โต 476 % ปันผล 0.55 บาท XD 8 พ.ค.68

     นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร  CPF กล่าวถึง ภาพรวมผลประกอบการในปี 2567 ที่ดีขึ้นเกินเป้าหมายนั้น เป็นผลหลักมาจากกิจการต่างประเทศมีการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ดีอย่างชัดเจน จากการปรับสมดุลของปริมาณผลิตให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ ทำให้อุตสาหกรรมสุกรฟื้นตัวจากภาวะราคาตกต่ำที่เกิดจากสินค้าล้นตลาดในปี 2566

          โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่ดีขึ้นเกินเป้าหมายจากภาวะราคาสุกรที่สูงขึ้นจากผลกระทบโรคระบาด ASF ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ การบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ และการจัดหาวัตถุดิบที่ดีขึ้น การจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากปีก่อน เหล่านี้ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากปีก่อน
  
         “แนวโน้มธุรกิจซีพีเอฟในปี 2568 ยังมองว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตจากปีก่อนได้ต่อเนื่อง จากการที่บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมทั้งการพัฒนาสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรม และความพึงพอใจของผู้บริโภค และมองหาโอกาสการลงทุนที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพ และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก ตลอดจนส่งเสริมนวัตกรรมความยั่งยืน (Sustainovation) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจที่สามารถสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ดั่งสะท้อนจากการที่บริษัทได้รับประเมินความยั่งยืนองค์กรที่ระดับ Top 1% โดย S&P Global หรือเดิมที่เรารู้จักกันในชื่อ DJSI”

 
         อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตาม และประเมินสถานการณ์ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการดำเนินงานทุกด้านอย่างใกล้ชิด อาทิ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 ว่าจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างไร ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนโรคระบาดสัตว์ที่มีการแพร่กระจายอยู่ในต่างประเทศหลายประเทศ ซึ่งทางบริษัทได้เพิ่มมาตรการดูแลป้องกันผลกระทบอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารในแต่ละประเทศ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์