6 CEO หุ้นดัง SET50 ปั้นกำไรปี 2567 เติบโตสูงสุด

6 CEO หุ้นดัง SET50 ปั้นกำไรปี 2567 เติบโตสูงสุด หุ้น CCET กำไรปี 2567 มากที่สุดเป็นอันดับ 1 บวกเพิ่มกว่า 133.30% ตามมาด้วยอันดับ 2 ITC กำไรบวกเพิ่ม 57.68%
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียน โดยกลุ่มธุรกิจทั่วไปมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เติบโตจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกให้ บจ. ไทย ที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การอุปโภคบริโภค และการบริการ มีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก โรงแรม การบิน โรงพยาบาล โทรคมนาคม และพื้นที่เช่าการค้า ขณะที่ ราคาน้ำมัน และส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในปี 2567 กดดันความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และปิโตรเคมีภัณฑ์ และภาพรวมของ บจ.ทั้งหมด
ทั้งนี้ "กรุงเทพธุรกิจ" ได้สำรวจใน ดัชนี SET 50 เพื่อค้นหาบริษัทที่มีผลงานดีเยี่ยม สามารถทำตัวเลขอัตราการเปลี่ยบนแปลงกำไรสุทธิ ได้สูงสุดในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งจะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ และการบริหารงานขอ CEO ที่มีความแข็งแกร่งใน 6 อันดับแรก
6 CEO หุ้นดัง SET50 ปั้นกำไรปี 2567
1.บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) CCET
- คงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ (Tony Chou) กรรมการผู้จัดการ
- หมวดธุรกิจ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- มาร์เก็ตแคป 62,178 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -41.09%
- P/E 23.89 เท่า
บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 72.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 2,602.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133.30% จาก 31.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,115.61 ล้านบาท) ในปี 2566 ขณะที่รายได้ปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าอยู่ที่ 4,193.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 147,110.75 ล้านบาท ลดลง 2.90% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอตัว
ส่วนต้นทุนขายอยู่ที่ 3,971.64 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 139,323.53 ล้านบาท คิดเป็น 94.71% ของรายได้จากการขาย ลดลงจาก 94.91% ในปี 2566 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 5.09% ในปี 2566 เป็น 5.29% ในปี 2567 ปัจจัยหลักมาจากการปรับโครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 49.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,732.47 ล้านบาท ในปี 2566 เหลือ 18.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 652.30 ล้านบาท ในปี 2567 คิดเป็นการลดลง 62.68% ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานและการขยายโรงงานในประเทศไทย
โดยบริษัทเตรียมปันผลจำนวน 0.13 บาท กำหนดขึ้น XD วันที่ 19 มี.ค.68 และกำหนดจ่ายปันผล 20 พ.ค.2568
2.บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ITC
- พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- หมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม
- มาร์เก็ตแคป 48,300 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -27.80%
- P/E 13.43 เท่า
ผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2567 มีรายได้จากการขายรวมที่ 17,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวแข็งแกร่งถึง 27.7% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,597 ล้านบาท เติบโต 57.7% จากปีก่อนหน้า เป็นผลจากคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกและการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียม ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.75 บาทต่อหุ้น ทำให้การจ่ายเงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 1.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลที่ 95.9%
โดยปี 2567 ไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายในอเมริกาคิดเป็น 50% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34% และยุโรปอยู่ที่ 16% โดยสามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70% อาหารสุนัข 18% ขนมของสัตว์เลี้ยง 12% นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงออกสู่ตลาดกว่า 1,300 รายการ สร้างรายได้ 1,395 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของยอดขายในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจด้วยการเซ็นสัญญาทางธุรกิจกับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลกอีก 83 รายอีกด้วย
ขณะที่ในปีนี้ ไอ-เทล มีความมุ่งมั่นอย่างมากในการขับเคลื่อนการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อการขยายธุรกิจในตลาดโลกและการเติบโตในธุรกิจ private label โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และยุโรป โดยเรายังคงยึดมั่นการให้ความสำคัญกับลูกค้าและสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง และเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเปียก ขนมทานเล่น และอาหารกลุ่ม functional สำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงการมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดในการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหารและโภชนบำบัด (nutraceutical) เพื่อการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยงอย่างยั่งยืน
3.บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG
- เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- หมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม
- มาร์เก็ตแคป 59,250 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -24.52%
- P/E 20.84 เท่า
โดยผลการดำเนินงานปี 2567 มีกำไรสุทธิ 2,843 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.84 บาท เพิ่มขึ้น 48% บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลอีก 0.70 บาท ขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค.68 จ่ายเงินปันผลวันที่ 16 พ.ค.68 ทั้งนี้ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คงมุมมองบวกต่อภาพการเติบโตของ CBG ที่จะหนุนจากการเติบโตในตลาดต่างประเทศ และธุรกิจรับจ้างจัดจำหน่ายสุราก็ตาม เบื้องต้นคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ที่ 3,382 ล้านบาท +19.0%YoY) แต่ปรับลดราคาเหมาะสมลงเป็น 78.00 บาท จากการปรับลด T.G.ลงเป็น 2.5% เดิม 3.0% เทียบเท่า PER ที่ 23.1 เท่า ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 20 เท่า แม้จะต่ำเมื่อเทียบเฉลี่ยในอดีตที่ 30-35 เท่า แต่เป็นระดับที่สูงที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่มปัจจุบัน และยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เราปรับลดคำแนะนำลงจาก ซื้อ เป็น TRADING เชิงกลยุทธ์ แม้ราคาปรับลงมามาก แต่มองว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบเข้าลงทุน แนะนำ Wait and see โดยรอจังหวะลงทุนอีกครั้งหากบริษัทยังสามารถแบ่งส่วนแบ่งตลาดได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/68
4.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) MINT
- เอ็มมานูเอล จู๊ด ดิลิปรัจ ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท
- หมวดธุรกิจ การท่องเที่ยวและสันทนาการ
- มาร์เก็ตแคป 155,924 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD +5.77%
- P/E 20.12 เท่า
ปี 2567 MINT มีกำไร 7,750.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.34% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไร 5,407.06 ล้านบาท โดยในปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานเติบโต 8% อยู่ที่ 166,034 ล้านบาท เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของโรงแรมและร้านอาหารที่ดีขึ้น การท่องเที่ยวทั่วโลกที่เฟื่องฟูและความสำเร็จของกลยุทธ์การกำหนดราคาส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน(RevPar) ในยุโรป และเอเซียเพิ่มขึ้น และการเปิดโรงแรมใหม่ทำให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน จำนวนลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในไทยและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แคมเปญการตลาด การขยายสาขาและการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ผลักดันให้ Core EBITDA เพิ่มขึ้น 4% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานที่ 8,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%
โดยในปีนี้ยังคงมั่นใจในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนของกิจกรรมการเดินทางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น และโครงการเชิงกลยุทธ์ต่างๆ ตลาดหลักอย่างยุโรป และประเทศไทยมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักที่แข็งแกร่ง โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น ในช่วงปี 2567-2575 ที่ระดับเลขหลักเดียวตอนกลางสำหรับยุโรป และระดับเลขหลักเดียวตอนสูงสำหรับไทย ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรงยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากยอดจองล่วงหน้าในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่เพิ่มขึ้น 5% ในยุโรป และ 9% ในไทย
นอกจากนี้ แผนงานระยะ 3 ปี ตั้งเป้าให้มีโรงแรมมากกว่า 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่งทั่วโลกภายในปี 2570 ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ต่อปีที่ 6-8% และการเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ 15-20% โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับจ้างบริหารโรงแรมและแฟรนไซส์ร้านอาหาร พร้อมตั้งเป้าที่จะบรรลุผลตอบแทนจากเงินลงทุนให้สูงกว่า 12% พร้อมเร่งขยายธุรกิจในรูปแบบที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
5.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL
- ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- หมวดธุรกิจ พาณิชย์
- มาร์เก็ตแคป 455,892.39 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -8.97%
- P/E 17.99 เท่า
ทั้งนี้ CPALL รายงานผลการดำเนินงาน ประจำปี 2567 โดยฐานะการเงินและผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมาจากธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและศูนย์การค้า และ ธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป ธุรกิจตัวแทนรับชำระค่าสินค้าและบริการ และธุรกิจจำหน่ายและซ่อมแซมอุปกรณ์ค้าปลีก โดยมีรายได้รวม เป็นจำนวน 987,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% และกำไรสุทธิ 25,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.1% จากปีที่ผ่านมาตามลำดับ จากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นทุกหน่วยธุรกิจตามการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
ด้านการเติบโตของธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อเครือข่ายร้านสาขา 7-Eleven บริษัทฯ บรรลุแผนขยายสาขา และมุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าภายใต้สโลแกน “All Convenience” ผสมผสานระหว่างช่องทาง online และ offline โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศรวม 15,245 สาขา เพิ่มขึ้น 700 สาขาจากปีก่อน พร้อมช่องทางการขายและบริการบนแอปพลิเคชัน 7App ที่ให้บริการผ่าน 7Delivery และ All Online
6.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) GULF
- สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- หมวดธุรกิจ พลังงานและสาธารณูปโภค
- มาร์เก็ตแคป 545,591.47 ล้านบาท
- ผลตอบแทนราคา YTD -21.85%
- P/E 30.03 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 18,170,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,857,734 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม (total revenue) เท่ากับ 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จาก 116,951 ล้านบาท ในปี 2566
โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัท มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ซึ่งหน่วยผลิตที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2567 ตามลำดับ ส่งผลให้โรงไฟฟ้า GPD ทั้ง 4 หน่วยเปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ในเดือนมีนาคม 2567 ในขณะเดียวกัน GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP จำนวน 1,940 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการ โดยมี load factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 72% ในปี 2566 เป็น 79% ในปีนี้ เนื่องจากในระหว่างปี 2566 กลุ่มโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้มีการทยอยหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection) ตามแผนงาน
ปัจจุบัน GULF อยู่ในกระบวนการการควบรวมกิจการกับ INTUCH ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยบริษัทใหม่ (NewCo) จะมีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก NewCo จะมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นใน ADVANC เป็น 40.44% จากเดิมถือทางอ้อมในสัดส่วน 19.16% ส่งผลให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี
ในขณะเดียวกัน กระแสเงินสดจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในอนาคต นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้น 20-25% โดยโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัทฯ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ HKP หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ที่ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเรียบร้อยตามกำหนดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms)
และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ ที่มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์