4 หุ้นนิคมฯ กอดคอร่วง AMATA-WHA ดิ่งนำ 10.69% นักลงทุนชะลอย้ายฐานการผลิต

4 หุ้นนิคมฯ กอดคอร่วง AMATA-WHA ดิ่งนำ 10.69% นักลงทุนชะลอย้ายฐานการผลิต

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 9 เม.ย.2568เวลา 10.40 น. หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมร่วงยกแผง นำโดย หุ้น AMATA ร่วงแรง10.69% ขณะหุ้น WHA ร่วง 6.35% นักวิเคราะห์ เผย นักลงทุนชะลอย้ายฐานการผลิต หลังรับผลกระทบภาษีทรัมป์

ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 9 เม.ย.2568เวลา 10.40 น. หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมร่วงยกแผง นำโดย 

  • หุ้น AMATA ร่วง 10.69% ลดลง 1.40 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 11.70 บาท
  • หุ้น WHA ร่วง 6.35% ลดลง 0.16 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 2.36 บาท
  • หุ้น ROJNA ร่วง 4.33% ลดลง 0.20 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 4.42 บาท 
  • หุ้น PIN ร่วง 1.74% ลดลง 0.10 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 5.65 บาท

4 หุ้นนิคมฯ กอดคอร่วง AMATA-WHA ดิ่งนำ 10.69% นักลงทุนชะลอย้ายฐานการผลิต

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวลงมา หลังจากที่แนวโน้มการขายที่ดินอาจจะไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่คาดหวังไว้  เพราะการที่มีการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐอาจจะทำให้การย้ายฐานการผลิตไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไรนัก ส่งผลให้ในภูมิภาคโดนหนักค่อนข้างเยอะ

อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ยังมีความโดดเด่น คือ หุ้น AMATA  ในระยะกลางถึงระยะยาวถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจ แม้ว่าราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งได้รับผลกระทบจากเวียดนามที่โดนภาษีทรัมป์ค่อนข้างสูง จึงอาจจะทำให้ยอดขายในเวียดนามไม่เข้าเป้า 

กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มว่า จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบันการลงทุนทั่วโลกทำให้มีการปรับเปลี่ยนและต้องกลับมาทบทวนแผนการลงทุนใหม่ หลังจากที่การลงทุนทั่วโลกเกิดการชะลอตัวลง เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า ทำให้ภาพการย้ายฐานผลิตหยุดชะงัก เพราะนักลงทุนก็ไม่มั่นใจ หรืออาจจะต้องย้ายไปยังอเมริกาใต้หรือประเทศที่มีภาษีที่ต่ำกว่า ซึ่งก่อนหน้านี้ จะมีการย้ายฐานผลิตมายังไทย และเวียดนามก็ตาม

ทั้งนี้ บริษัทขนาดใหญ่ที่ทำดาต้าเซนเตอร์มีแผนชะลอการการลงทุน ส่งผลกระทบหนักไปยังกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แม้ว่าจะมีการเจรจาซื้อที่ดินกันแล้ว แต่โอกาสที่จะชะลอในเรื่องของการโอน หรือการซื้อขายที่ดินยังคงมีสูงมากๆ ดังนั้น คาดผลประกอบการในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงสูง และอาจจะชะลอตัวไปในระยะยาวมากขึ้น จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงมาค่อนข้างที่จะแรง

“ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบควรหลีกเลี่ยง เพราะการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนก่อนหน้านั้นที่จะแค่ระยะสั้นๆ แต่ในรอบนี้จะเป็นการเปลี่ยนเกม และเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่กระทบกับไทย”