‘หุ้นไทย’ ขาลงทุบ ‘ไอพีโอ’ สะดุด ‘กูรู’ รับปีนี้ ‘บจ.ใหม่’ ระดมทุนต่ำ เหลือแค่เดือนละ 1 ตัว 

‘หุ้นไทย’ ขาลงทุบ ‘ไอพีโอ’ สะดุด ‘กูรู’ รับปีนี้ ‘บจ.ใหม่’ ระดมทุนต่ำ เหลือแค่เดือนละ 1 ตัว 

‘หุ้นไทย’ขาลงทุบ‘ไอพีโอ’สะดุด ‘กูรู’ รับปีนี้ ‘บจ.ใหม่’ ระดมทุนต่ำ เหลือแค่เดือนละ 1 ตัว “เซนติเมนต์ไม่ดี-มาตรฐานบัญชีใหม่” หลังต้องส่งงบการเงินย้อนหลัง 3 ปี

“สัญญาณหุ้นไอพีโอ” เริ่มไม่ค่อยสู้ดี นับตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา หลังต้องประสบกับ “ภาวะเศรษฐกิจซบเซา” ลามต่อเนื่องมาในปี 2568 ที่ส่งสัญญาณความชัดเจนว่า “หุ้นไอพีโอชะลอตัว” บ่งชี้ผ่าน 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.2568) สารพัดปัญหาถาโถมเข้ามากระทบภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ว่างเว้น

‘หุ้นไทย’ ขาลงทุบ ‘ไอพีโอ’ สะดุด ‘กูรู’ รับปีนี้ ‘บจ.ใหม่’ ระดมทุนต่ำ เหลือแค่เดือนละ 1 ตัว 

สะท้อนผ่านระหว่างเดือนม.ค.- 11 เม.ย.2568 พบว่ามีจำนวน “3 หุ้นไอพีโอ” เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ด้วยมูลค่าระดมทุนรวม 790.40 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER และล่าสุด บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH 

นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดไอพีโอซบเซา จากไตรมาสแรกปี 2568 “หุ้นไอพีโอไม่คึกคัก” สาเหตุหลักๆ คงต้องยกให้เศรษฐกิจชะลอตัว เหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือแม้กระทั่งที่ดูเหมือนโหดร้ายที่สุดการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐที่สูงลิบ ส่งผลให้ดัชนีทั่วโลก รวมถึงดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงมาอย่างหนัก จนหลายฝ่ายหวั่นวิตกอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หุ้นไอพีโอหดหายไปมากตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ปรับเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใหม่ในมาตรฐานทางบัญชีที่กำหนดให้บริษัทยื่นทำงบการเงินย้อนหลังในรูปแบบกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ หรือ PAE เป็น 3 ปีย้อนหลัง จากเดิม 1 ปี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2567

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า “หุ้นไอพีโอ” ที่มีเตรียมเข้ามาในปีนี้น้อยลง หรือเรียกว่า “บางตาลงไปมาก” ถือว่าชะลอตัวอย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหุ้นไอพีโอต่อจากนี้จะมีเรื่อง “มาตรฐานบัญชีใหม่” ต้องมีการส่งงบการเงินย้อนหลัง 3 ปี จากเดิมที่ต้องส่งงบการเงินแค่ 1 ปี 

ดังนั้น กลายเป็นว่าบริษัทจดทะเบียนใหม่ๆ ที่จะเข้าระดมทุนจะ “ยากขึ้น” ด้วยเกณฑ์หนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ทำให้หุ้นใหม่ลดลง และบวกกับบรรยากาศเศรษฐกิจตึงตัวจากผลกระทบนโยบายภาษีของทรัมป์

ดังนั้น แนวโน้มหุ้นไอพีโอในปีนี้ส่งสัญญาณไม่ดีแล้ว สะท้อนจากตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พบว่ามีหุ้นไอพีโอใหม่เข้าระดมทุน 3 หลักทรัพย์ เทียบกับปี 2567 มีหุ้นไอพีโอเข้ามาในตลาด SET 14 หลักทรัพย์ ในตลาด mai 18 หลักทรัพย์ หากย้อนไปดูปี 2566 หุ้นไอพีโอในตลาด SET 20 หลักทรัพย์ ตลาด mai 20 หลักทรัพย์ รวมเป็น 40 หลักทรัพย์ และมี “มูลค่าหลักทรัพย์ไอพีโอ” ปี 2566 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท  ขณะที่ในปี 2567 เหลืออยู่ 1 แสนล้านบาท

“จากมาตรฐานทางด้านบัญชีที่สูงขึ้น บวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ดังนั้น แนะนำนักลงทุนควรเก็บแรงและเตรียมรับมือภาวะเศรษฐกิจซบเซา จากเศรษฐกิจโลก จีโอโพลิติกส์ แต่จะมีผลสืบเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ ดังจะเห็นภาพผู้ประกอบการเริ่มยื้อไม่ไหว ทยอยรัดเข็มขัดมากขึ้น ด้วยลดค่าใช้จ่ายมากขึ้น หลายคนเริ่มเหนื่อยมาก ๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่กังวลมากคือ อาจจะเริ่มเห็นการทยอยปิดกิจการมากขึ้น การเลิกการจ้างงานมากขึ้น และปีหน้าก็จะลุกลาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้การค้าโลกซบเซา และไทยยังขาดภูมิคุ้มกัน”

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ บอกว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยถือว่ามีผลกระทบต่อหุ้นไอพีโอ เนื่องจากสัญญาณโมเมนตัมในโซนนี้ยังไม่ค่อยดีนัก เพราะตลาดยังปรับฐานแรงต่อเนื่อง และจังหวะของหุ้นไอพีโออาจจะต้องรอเวลาที่เหมาะสม หากเข้ามาในตลาดที่แย่โอกาสที่ราคาจะเปิดมาแล้วลงค่อนข้างสูง

“เวลาที่ตลาดไม่ดี และโอกาสที่จะไอพีโอ และราคาเปิดลงมีสูงมาก ดังนั้น เมื่อตลาดไม่ดีอยู่ในสภาวะที่ยังมีความกังวลค่อนข้างสูง ก็จะทำให้หุ้นไอพีโอมีการเปิดการออกมาน้อยลง หรือหุ้นไอพีโอก็มีการชะลอตัวออกไปก่อน”

ทั้งนี้ จะเริ่มเห็นหุ้นไอพีโอที่สามารถเปิดมาแล้วราคายังสามารถยืนบวกได้ แต่ทว่าก็จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ราคาไอพีโอเปิดมาก็ “ต่ำจอง” ตลอดก็มี แต่ทว่าช่วงหลังยังพอมีสัญญาณเป็นบวกขึ้นมา แต่ทำให้นักลงทุนในหุ้นไอพีโอพอได้กำไรมาบ้าง แต่ทว่า ณ ปัจจุบันสัญญาณหุ้นไอพีโอส่วนใหญ่ยังคงเล่นได้แค่ช่วงเปิดไอพีโอเท่านั้น และหลังจากนั้นราคาค่อนข้างจะยืนได้ยาก และขณะนี้ถือว่า หากได้ยากมาก

ยกตัวอย่างหุ้นไอพีโอ หุ้น OKJ หรือ บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ นักลงทุนวีไอส่วนใหญ่จะชอบ เป็นภาพของธุรกิจที่มีมาร์จินสูง เห็นการขยายสาขาได้ แต่ทว่ากำไรไตรมาส 4/67 ออกมาต่ำคาดไป ทำให้ราคาหุ้นปรับร่วงลงมา และทิ้งดิ่งลงมาเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยถือว่าปรับลงมาใกล้เคียงกับช่วงโควิด แต่เปรียบเทียบกันในเชิงเศรษฐกิจรอบนี้แม้จะดูแผ่วลง แต่เศรษฐกิจยังคงหมุนต่อไปได้ และทุกคนยังสามารถทำมาหากินกันได้ แม้ยอดขายอาจจะไม่ได้อู้ฟู่มาก แต่ในช่วงสภาวะโควิดทุกคนอยู่บ้าน รอให้ตัวเลขของการติดเชื้อเบาบางลง ซึ่งไม่มีการเติบโตในเรื่องของรายได้เข้ามา จึงทำให้ตัวเลขของเศรษฐกิจมีความแตกต่างกัน

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า หุ้นไอพีโอหลายตัวทยอยปรับตัวลงแม้จะเป็นหุ้นที่มีกิจการที่ดี แต่เมื่อเจอเซนติเมนต์ตลาดไม่เอื้อ ดังนั้น น่าจะมีการชะลอตัวลงไปก่อน และถ้าตลาดยังไม่เป็น “ขาขึ้น” รวมถึงปัจจัยมหภาคทั้งภายในและภายนอกประเทศยังไม่ชัดก็ยังจะซึม ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ

โดยในปีนี้ถือว่า มีการออกหุ้นไอพีโอค่อนข้างน้อย ขณะที่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยประมาณก็ไม่มากเช่นกัน และปีนี้ก็น่าจะน้อยลงไปอีก เพราะโดยเฉลี่ยหุ้นไอพีโอน่าจอยู่ราวประมาณ 15 -20 หลักทรัพย์ทั้งปีในช่วงตลาดที่ไม่ค่อยดี แต่ทว่าช่วงตลาดดี ๆ อาจจะมากกว่านั้นได้

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลว่า ตลาดเริ่มซบเซาหลังจากที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ส่งผลให้หุ้นไอพีโอในปีนี้ดูเหมือนจะไม่คึกคักหากเทียบกับปีก่อน ๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น กระทบต่อเชิงเซนติเมนต์ ทำให้หุ้นไอพีโอหากออกมาในขณะนี้ราคาอาจจะได้ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก จึงมองว่าในปีนี้หุ้นไอพีโอน่าจะลดน้อยลงอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ในแง่ของการระดมทุนต่าง ๆ ของหุ้นไอพีโอน่าจะน้อยลง หรืออาจจะมีบางบริษัทที่ชะลอการไอพีโอออกไป และรอให้ตลาดมีภาวะที่ดีขึ้นกว่านี้ก่อน และถึงจะเริ่มกลับมาได้

“ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลาดร่วงแรงกว่าที่คิด และไหลลงเรื่อย ๆ สะท้อนในแง่ความเสี่ยงที่ไทยได้รับผลกระทบมาก เพราะว่าบ้านเราเป็นประเทศที่ส่งออกค่อนข้างมาก ทำให้ระยะสั้นอาจจะฟื้นตัวได้ยาก หากยังไม่ได้เห็นพัฒนการ การเจรจาที่จะออกมาในเชิงบวก แต่โดยรวมภาครัฐมีการนำแผนการว่าจะนำสิ่งใดไปเสนอต่อสหรัฐได้บ้าง”

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนปัจจุบันหากยังจะอยู่ในตลาดหุ้นในช่วงนี้แนะนำเป็นกลุ่ม Defensive Stock ซึ่งแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นทั่วโลกก็ตาม แต่อาจจะลงน้อยกว่าในกลุ่มอื่น ๆ หรือเลือกหุ้นที่มีปันผลสูง และราคาย่อตัวในช่วงนี้