หุ้น SCC บวก 3.48%  คาดไตรมาส 1/68 พลิกกำไร โบรกเผย PBV ต่ำ 0.5 เท่า

หุ้น SCC บวก 3.48%  คาดไตรมาส 1/68 พลิกกำไร โบรกเผย PBV ต่ำ 0.5 เท่า

หุ้น SCC บวก 3.48% ราคาเพิ่ม 5.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 148.50 บาท นักวิเคราะห์ คาดไตรมาส 1/68 พลิกกำไร ราคาเหมาะสม 210 บาทขณะที่ PBV ต่ำที่ 0.5 เท่า

ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 16 เม.ย.2568 เวลา 11.20 น. หุ้น SCC บวก 3.48% ราคาเพิ่ม 5.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 148.50 บาท 

หุ้น SCC บวก 3.48%  คาดไตรมาส 1/68 พลิกกำไร โบรกเผย PBV ต่ำ 0.5 เท่า

ประสิทธิ์ รัตนกิจกมล นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอเชีย พลัส เปิดเผยว่า คาด 1/68 กำไรสุทธิ 931 ล้านบาท ภาพรวมผลประกอบการ 1/68 แม้ยังไม่โดดเด่น แต่ก็น่าจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้อีกครั้ง หลังจากประสบผลขาดทุน 512 ล้านบาท ในงวด 4/67 โดยฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิงวด 1/68 จะอยู่ที่ 931 ล้านบาท  โดยธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง  และธุรกิจ Packaging จะกลับมาทำกำไรได้จากที่มีผลขาดทุนในไตรมาสก่อน  เหลือเพียงธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังมีผลขาดทุน  เนื่องจาก SCC มีค่าใช้จ่ายคงที่ ค่าใช้จ่ายด้าน Overhead ค่าเสื่อมราคาดอกเบี้ยจ่ายค่าไนโตรเจนในการรักษาสภาพเครื่องจักรให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา จากโรงงาน Long Son Petrochemical ในเวียดนามประมาณเดือนละ  1,200  ล้านบาท

ในขณะที่โรงงาน LSP ยังไม่กลับมาเปิดดำเนินงาน เนื่องจาก Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอยู่ในระดับต่ำ สำหรับธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างกลับมาทำกำไรได้เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการก่อสร้างและไม่มีค่าใช้จ่าย One time ในการปรับโครงสร้างองค์กรเหมือนงวด 4/67 และยังได้อานิสงค์บางส่วนจากการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ในเดือนมีนาคม 

ส่วนธุรกิจ Packaging รับผลบวกจากต้นทุนเศษกระดาษที่ปรับตัวลดลง และไม่มีค่าใช้จ่าย One time เหมือนที่เกิดขึ้นใน 4/67 

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ประเมินงวด  1/68 ขาดทุน 3.1 พันล้านบาท เทียบกับงวด 4/67 ที่มีผลขาดทุน 3.4 พันล้านบาท ผลขาดทุนลดลงแม้ว่า Spread ของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวด 4/67 ก็ตามแต่ค่าใช้จ่ายด้าน Overhead ของโรงงาน LSP ในเวียดนามในไตรมาสนี้จะต่ำกว่างวด 4/67 เนื่องจาก Long Son Petrochemical หยุดดำเนินงานเต็มไตรมาส เทียบกับงวด 4/67 ที่เปิดดำเนินงาน 1 เดือน โดยปริมาณการจำหน่ายเม็ดพลาสติก Polyolefin (PE+PP) งวด 1/68 คาดลดลงเหลือเพียง 4.3 แสนตัน ต่ำกว่างวด 4/67 ที่ 5.5 แสนตัน ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้าในภาวะที่ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์  ทรัมป์ ขณะที่ปริมาณการขาย PVC คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น  1.57  แสนตัน  สูงกว่างวด  4Q67 ที่มีปริมาณการขาย1.43 แสนตัน จากการกลับมาเปิดดำเนินงานโรงงาน VCM ที่หยุดดำเนินงานไปในช่วงต้น 4/67 จากเหตุอุบัติเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นปลายไตรมาส 3/67 บวกกับการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของภาคก่อสร้าง

ทั้งนี้ ปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM)ประเมินกำไรงวด  1/68 ที่ 1.9 พันล้านบาทturnaround จากงวด 4Q67 ที่มีผลขาดทุน 67 ล้านบาท เนื่องจากงวด 4Q67 มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดจากโครงการลาออกโดยสมัครใจของพนักงานและมีการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่ค้างไว้นานรวมกันประมาณ 500 ล้านบาทในขณะที่ 1Q68 ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าว  นอกจากนี้ไตรมาสแรกของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยมีความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์มากขึ้นในโครงการก่อสร้างภาครัฐ  รวมไปถึงธุรกิจในต่างประเทศอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่จะได้รับผลบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้านอัตรากำไรก็น่าจะได้แรง หนุนจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลง และอานิสงค์บางส่วนจากการประกาศปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ 400 บาท/ตัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค 68 ซึ่งผลบวกจากราคาขายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นจะเกิดขึ้นชัดเจนในงวด 2Q68 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ หุ้น SCC มีความน่าสนใจในเชิง Valuation แต่ยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้น ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ความน่าสนใจของ SCC อยู่ที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PBV เพียง 0.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปี ถึง 1.7 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 

ขณะที่ประมาณการกำไร 1/68 แม้จะคิดเป็นสัดส่วน 9% ของประมาณการกำไรปี 2568 ที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ 10,124 ล้านบาท แต่ช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสที่ SCC จะบันทึกกำไรพิเศษผ่านบริษัทลูกคือ Chandra Asri ที่เข้าซื้อโรงกลั่นในสิงคโปร์จาก Shell ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เกิด Negative Goodwill บวกกับต้นทุน Naphtha ที่ลดลงและการปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์ในประเทศซึ่งจะส่งผลบวกตั้งแต่ 2/68 เป็นต้นไป ทำให้ยังคงประมาณการกำไรไว้เท่าเดิม 

อย่างไรก็ตามฐานกำไรปกติในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้าที่ยังอยู่ในระดับต่ำเพราะต้องมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของโรงงาน LSP ในเวียดนามและปัจจัยลบใหม่เกี่ยวกับสงครามการค้า จึงคงให้น้ าหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 210 บาท