ยิ่ง "กินเนื้อสัตว์" มากเท่าไร ยิ่งซ้ำเติมโลกมากขึ้นเท่านั้น
คนในโลกนี้ หันมากินเนื้อสัตว์มากขึ้น ทำให้ฟาร์มปศุสัตว์ขยายตัว เกิดการตัดไม้ ทำลายป่า เพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อโลกร้อนและชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
รู้หรือไม่ ในรอบ 30 ปีมานี้ คนทั่วโลกกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว ทั้งที่จำนวนประชากรในโลกไม่ได้เพิ่มขึ้นขนาดนั้น
น่าสังเกตว่า คนที่กินเนื้อสัตว์มากที่สุด คือคนในประเทศร่ำรวย สามอันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล ขณะที่คนรัสเซีย จีน และเวียดนาม จากที่เคยกินพืชผักเป็นหลักก็เปลี่ยนมากินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อคนกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น จากการเลี้ยงแบบพอยังชีพกลายเป็นการทำ “ฟาร์มอุตสาหกรรม”
สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ การเลี้ยงสัตว์แบบนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และรอบด้าน ต่อโลกของเรา รวมถึงตัวเราที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก หรือ World Animal Protection จัดทำและเผยแพร่รายงานฉบับล่าสุด ที่ชื่อว่า “ภัยคุกคามสุขภาพที่ซ่อนไว้ในระบบปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม ปฏิรูประบบปศุสัตว์เพื่อสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น” โดยอธิบายถึงผลกระทบที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์อย่างขนานใหญ่ของมวลมนุษยโลก
ตัดป่าปลูกพืชอาหารสัตว์ เพื่อสัตว์ในฟาร์ม
ฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการตัดป่าเพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์ แม้แต่ป่าแอมะซอนก็ยังถูกแผ้วถางจนสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลานทั่วโลกลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำลาย
สัตว์กว่าหนึ่งล้านสายพันธุ์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ ยังไม่นับผลกระทบจากยาฆ่าแมลงและปุ๋ย ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป ที่ไนโตรเจนจากปุ๋ยปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำจืดจนเกินมาตรฐานความปลอดภัย หรือตัวอย่างการเกิด “เขตมรณะ” ขนาดใหญ่กว่า 6,300 ตารางเมตร ในอ่าวเม็กซิโกเมื่อปีที่ผ่านมา
(ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากฟาร์มขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้เสมอ)
การผลิตเนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรมยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซไนตรัสออกไซด์ใหญ่ที่สุด ก๊าซเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลักของก๊าซเรือนกระจก ที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกต้องรับมืออยู่ในขณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ฟาร์มอุตสาหกรรมยังใช้พลังงานสูง ทั้งการผลิตอาหารสัตว์ การให้แสงสว่างและควบคุมอุณหภูมิในฟาร์ม รวมไปถึงระบบระบายอากาศ ล้วนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสภาพอากาศและมลพิษทางอากาศทั้งสิ้น
โลกสูญเสียความมั่นคงทางอาหาร
พื้นที่ 3 ใน 4 ของโลกนี้ที่เคยเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชให้เราได้กินกัน ปัจจุบันถูกปรับเป็นแปลงปลูกพืชอาหารสัตว์ การที่พืชผลทางการเกษตรและที่ดินถูกนำไปใช้เลี้ยงสัตว์แทนที่จะเป็นอาหารของมนุษย์ ส่งผลให้อาหารตกไปอยู่ในมือของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
เพราะเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมมีราคาสูงกว่าพืชผัก ผู้คนทั้งในทวีปแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา ไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในราคาที่เหมาะสมเหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไป
การเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมยังสิ้นเปลืองน้ำ
- กว่าจะได้กินเนื้อวัว เราต้องใช้น้ำมากกว่าปลูกพืชผักถึง 9 เท่า
- การเลี้ยงหมูใช้น้ำมากกว่าการเพาะปลูก 4 เท่า
- เนื้อไก่ใช้น้ำมากกว่า 3 เท่า
ถ้าเลี้ยงอย่างหนาแน่นก็ยิ่งใช้น้ำมากขึ้นอีก มีตัวเลขว่า น้ำจืดร้อยละ 70 ของโลกถูกนำไปใช้ในการทำปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม
ภาวะขาดแคลนอาหาร
ในปี พ.ศ. 2563 ประชากรโลกประมาณ 720-811 ล้านคนทั่วโลก ต้องเผชิญความอดอยากหิวโหยจากเหตุความขัดแย้ง ความไม่มั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
หลังโควิด 19 แพร่ระบาด ปัญหายิ่งรุนแรงขึ้นอีก คนในประเทศรายได้ต่ำและปานกลางต้องรับมือกับ “ภาระสองเท่า” ของภาวะทุพโภชนาการ และเผชิญกับโรคขาดสารอาหาร เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 144 ล้านคนมีภาวะเตี้ยและแคระแกรน อีก 47 ล้านคนมีภาวะผอม
คนอีกจำนวนหนึ่งกลับมีภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน และเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด มะเร็ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โรคอ้วนทั่วโลกเพิ่มขึ้นสามเท่า และในจำนวนคนทั่วโลกที่เสียชีวิต 57 ล้านราย เป็นการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึง 41 ล้านราย หรือร้อยละ 70 การกินอาหารจากฟาร์มปศุสัตว์มากเกินไป แต่กินผักผลไม้น้อย ถูกจัดเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่ก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
“เชื้อดื้อยา” จากฟาร์มสัตว์สู่คน
ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ราคาถูก ทำให้ผู้ผลิตพยายามกดต้นทุนให้ต่ำ โดยการทำฟาร์มขนาดใหญ่ที่คุ้มทุนกว่าการเลี้ยงแบบพอยังชีพ การเลี้ยงสัตว์อย่างแออัดยัดเยียดใช้สายพันธุ์โตไวแต่ต้านทานโรคต่ำ ทำให้สัตว์อ่อนแอ ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เจ็บป่วย
การใช้ยาปฏิชีวนะแบบรวมหมู่ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ “เชื้อดื้อยา” และเชื้อเหล่านี้ก็เล็ดลอดจากฟาร์ม ทั้งรั่วไหลออกมากับน้ำทิ้งไปปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมโดยรอบบริเวณ ปะปนกับคนเลี้ยงสัตว์ และผู้คนก็เสี่ยงรับเชื้อขณะปรุงอาหาร รวมถึงคนที่กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
มีตัวเลขคาดการณ์ว่า ประชากรโลกเสียชีวิตจากโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 700,000 รายต่อปี
และหากสถานการณ์ยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป คาดว่าภายในปี 2593 จำนวนผู้เสียชีวิตจะขยับไปอยู่ที่ 1.27 ล้านคนต่อปี เชื้อดื้อยายังสร้างปัญหาด้านสาธารณสุข เพราะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด การปลูกถ่ายอวัยวะ ให้ยาเคมีบำบัด โดยยาที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ความเครียดของคนงานในพื้นที่แคบๆ
โรงงานฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูป และโรงงานบรรจุภัณฑ์ ใช้แรงงานสูง แม้จะปรับระบบการทำงานให้ทันสมัย แต่อุบัติเหตุแบบเดิม ๆ ยังอยู่ คนงานยังบาดเจ็บจากการลื่นล้ม หรือโดนเครื่องจักร รวมถึงโรคจากการทำงาน เช่น กล้ามเนื้อและกระดูกผิดปกติ โรคเครียด
โดยความเครียดของคนงานมาจากการทำงานในพื้นที่คับแคบ เสี่ยงโรค ในช่วงโควิด 19 แพร่ระบาด คนงานในโรงบรรจุภัณฑ์เนื้อสัตว์ในสหรัฐอเมริกา ติดเชื้อโควิดสูงกว่า 300,000 ราย และกลุ่มคนงานแปรรูปเนื้อสัตว์ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บและล้มป่วยจากการทำงานมากที่สุด
การจ้างงานในระบบการผลิตอาหารจากเนื้อสัตว์มักเป็นรูปแบบการจ้างงานที่ไม่มั่นคง ค่าจ้างต่ำ ชั่วโมงการทำงานยาวนาน ในยุโรปพบว่าบริษัทผลิตเนื้อมีการจ้างคนงานจำนวนมากด้วยค่าจ้างที่ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติ
…
รายงานฉบับเต็ม ภัยคุกคามที่ซ่อนไว้ในระบบปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม
https://www.worldanimalprotection.or.th/The-hidden-health-impacts-of-factory-farming