แดน ปฐมวาณิชย์ กับ 5 หน้าที่หลัก CEO เคลื่อนทัพ NRF
บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ “แดน ปฐมวาณิชย์” ที่บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ในการขยับจากนักเทคโอเวอร์ สู่บทบาทใหม่ CEO ครั้งแรก หลังตัดสินใจซื้อบริษัทฯ และนั่งแท่นบริหารเมื่อเดือน เม.ย. 2560
หลังจากเรียนจบป.ตรี ด้านการเงิน ม.ธรรมศาสตร์ ป.โท ด้านเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และผ่านการเปิดบริษัท โฮลดิ้งเพื่อการลงทุน เริ่มจากการลงทุนในบริษัทต่างๆ เป็นผู้ถือหุ้นน้อย และตอนหลังเปลี่ยนเป็นการลงทุนในลักษณะ M&A ตั้งแต่ปี 2553 จนกระทั่งรู้จัก NRF ในปี 2558 และซื้อกิจการในปี 2560
"แดน" เล่าว่า ความท้าทายในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” คือ จากเดิมเป็นนักการเงินและเข้าไปลงทุนในกิจการ ผมไม่เคยจำเป็นต้องเป็น CEO แต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังอีกที นี่คือชีวิตสบายที่สุด เราไม่ได้ถูกกดดันแต่เราเป็นฝ่ายกดดันด้วยซ้ำ
วางวิสัยทัศน์ เปลี่ยนวัฒนธรรม
เมื่อมาเป็น CEO ในเดือน เม.ย. 2560 อันดับแรก คือ ต้องวางวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ วางแผน สำหรับบริษัทว่าสุดท้ายจะทำอะไร โดยใช้เวลาเดินทางทั่วโลกกว่า 6 เดือน เพื่อพบลูกค้า ซับพลายเออร์ ทำความเข้าใจอุตสาหกรรมอาหาร เดินซูเปอร์มาร์เก็ตกว่า 300 แห่ง มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก สามารถบอกได้เลยว่าเมืองหลวงแต่ละประเทศร้านอยู่ตรงไหน ขายของ NRF หรือไม่
ความท้าทายที่ 2 คือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมอาหาร โรงงานเหมือนกองทัพ ชี้ซ้ายไปซ้าย ชี้ขวาไปขวา เพราะการผลิตอาหารพลาดไม่ได้ หากพลาดขึ้นมาคนที่เสียหายคือผู้บริโภค ดังนั้น จึงต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมกองทัพ เป็นวัฒนธรรมที่กระจายอำนาจ และหันกลับมาดูเรื่องของความยั่งยืน รวมถึง เมื่อมีเป้าหมายว่าจะเอาบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงต้องเปลี่ยนระบบเถ้าแก่มาเป็นระบบที่ตลาดหลักทรัพย์และนักลงทุนรับได้ โปร่งใส มีระบบบัญชีมาตรฐาน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการทำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
NRF ตั้งบริษัทย่อยขาย plant-based ในสหราชอาณาจักร
5 หน้าที่หลักของ CEO
แดน กล่าวต่อไปว่า หน้าที่ของ CEO มี 5 อย่างสำคัญ คือ
1.กำหนดวิสัยทัศน์
2.สร้างวัฒนธรรมองค์กร
3.การบริหารในภาพรวม
4.วางกลยุทธ์
5.เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้าม คือ มีหน้าที่จัดสรรทรัพยากรขององค์กร ไม่ว่าจะเงิน และคน
บนหน้าที่ของ CEO สไตล์ของผม คือ จำเป็นต้องโปร่งใสในการบริหาร เช่น คณะกรรมการของบริษัทเป็นบอร์ดของจริง ตรวจสอบจริง ค้านได้จริง ให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น ตราบใดที่กรรมการบริษัททำหน้าที่เต็มที่โดยไม่มีคนบีบคั้น ทำให้มั่นใจว่า เราตัดสินใจดีหรือไม่ ก็มีคนคอยเตือน คอยห้าม จะเห็นว่าหลายบริษัทที่ล้มเหลว เพราะว่าไม่มีใครห้าม ดังนั้น ผมต้องการมีคนค้าน คนห้าม มีคนสนับสนุน บริหารในแบบมืออาชีพ
“ผมพูดกับพนักงานตลอดเวลาว่า อย่ามองว่าเราคือเจ้าของ ให้มองว่าเราคือพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งความจริงเราก็กินเงินเดือน และผมมีตำแหน่ง เพราะฉะนั้น สามารถคุยตรงๆ กับผมได้ โปร่งใส มืออาชีพ และอยากให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นตรงๆ และแน่นอนว่าต้องเน้นในเรื่องของการเติบโต อีกส่วนต้องกลับไปช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย สิ่งสำคัญ คือ ต้องมี Impact กับสังคม”
เปลี่ยนความคิดตอบแทนสังคมมากขึ้น
แม้จะต้องเจอกับความท้าทายกับบทบาทใหม่ แต่ความชื่นชอบอุตสาหกรรมอาหารอยู่เป็นทุนเดิม และที่ผ่านมามีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมอาหารมาตลอด จึงเรียกได้ว่า นี่คือการทำงานด้วย Passion และมีผลต่อการเปลี่ยนความคิดจากนักการเงิน ที่มองแค่ผลตอบแทน มาสู่การมองในเรื่องของการตอบแทนสังคมมากขึ้น
“ก่อนที่จะมาซื้อ NRF ผมเป็นนักการเงินที่เป็นนักการเงิน เราสนใจแต่เรื่องของผลตอบแทนอย่างเดียว เป็นความคิดอย่างหนึ่งที่เอาเปรียบ ไม่สนใจว่าจะไล่ใครออก แค่ลดต้นทุนได้ ไม่สนใจว่าจะมีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร แต่ NRF เปลี่ยนชีวิตผม จากสมัยก่อนเราคิดว่าซื้อบริษัทเสร็จ แล้วขายออก แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องการซื้อบริษัทอื่นแล้ว”
“ตอนนี้ทุ่มเวลากับ NRF อย่างเดียวเพื่อสร้างมันขึ้นมา สร้างบริษัทที่ดี มีผลกระทบที่ดีต่อสังคม และแน่นอนว่าต้องมีการเติบโตที่ดีด้วย เราต้องกำไร ต้องเป็นบริษัทที่ดี ต้องเป็น CEO ที่เป็นตัวอย่างให้กับ CEO คนอื่นว่า เราไม่ควรค่ากำไรอย่างเดียว แต่ต้องดูว่า บริษัทเรามีหน้าที่ บทบาทอะไรในสังคม ในเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งไทยและระดับโลก”
ปรับวัฒนธรรม เป้าหมายเดียวกัน
ทั้งนี้ หากมองกลับไปในวันแรกที่ก้าวเข้ามาใน NRF “แดน” บอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนชัดเจนในวันนี้ คือ วัฒนธรรมองค์กร แต่ก็ยังต้องปรับอีกเยอะเนื่องจากมีการซื้อหลายบริษัทภายใต้ NRF ดังนั้น ต้องปรับทุกคนเป็นวัฒนธรรมเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนชัดเจน คือ สมัยก่อนที่รับแต่คำสั่งอย่างเดียว ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาออกความคิดเห็นซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
ถัดมา คือ การมุ่งเน้นช่วยเหลือสังคม มีกิจกรรมในแต่ละเดือนช่วยคนกว่าพันคนในเรื่องของอาหาร และในเรื่องของการออกไปให้ความรู้เรื่องของโลกร้อน และปัญหาอุตสาหกรรมอาหาร เรียกว่าสร้างผลกระทบในเชิงบวก รวมถึงการเติบโตกว่า 250 % ตั้งแต่ซื้อบริษัทมา และแผนในปีนี้เป็นต้นไป คาดว่าจะเติบโตปีละประมาณ 30-50%
ดูแลสุขภาพ ให้เวลาครอบครัว
ทั้งนี้ แม้การทำงานที่ต้องใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่เมืองไทยและอีกครึ่งอยู่ที่ต่างประเทศแต่การแบ่งเวลาเพื่อครอบครัว และการดูแลสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ “แดน” เล่าว่า หากอยู่ในประเทศไทยจะทำงานจันทร์ – เสาร์ วันอาทิตย์จะเป็นวันพักผ่อนอยู่กับครอบครัว และพยายามอ่านหนังสือ เช่น นิตยสารประจำสัปดาห์ หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ หรือสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และในต่างประเทศจะทำงาน จันทร์ – อาทิตย์
“ก่อนที่จะซื้อ NRF ส่วนตัวเป็นคนดูแลสุขภาพอยู่แล้ว ชอบวิ่งเกือบทุกวัน หากอยู่ที่ต่างประเทศจะพยายามวิ่งทุกวันในสวนตอนเช้าระหว่าง 06.00 – 06.30 น. หากอยู่เมืองไทย เนื่องจากสภาพอากาศไม่ค่อยดี ก็จะวิ่งในบ้านวันละ 30 นาที ในส่วนของอาหาร ผมเป็นนักทานทุกอย่างที่อร่อย เช่น หมูแดงที่ฮ่องกง ชอบทานแฮมเบอร์เกอร์ แต่ในช่วงหลังที่เราเข้ามาในอุตสาหกรรมอาหาร Plant based ก็ทานมาเรื่อยๆ เรียกว่าทาน Plant based กว่า 90% ส่วนที่เหลือก็ทานเนื้อสัตว์ เช่น ปลา เพื่อความบาลานซ์ เพื่อสุขภาพ”
อย่างไรก็ตาม การเดินทางบ่อยทำให้ไม่ได้เจอลูก แต่เขารับรู้ว่าเราไม่ได้หายไปจากชีวิตเขา เราไปหารายได้ เขาสามารถรู้สึกดีได้ว่าพ่อไปทำงานและสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคม ซึ่งเราก็พยายามที่จะโทรหาลูกทุกวันก่อนนอน
“ผมมี Passion เราต้องรักในสิ่งที่เราทำ เมื่อเรารักในสิ่งที่เราทำไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็มีความสุข ไม่ว่าเราจะอยู่หรือไม่อยู่กับครอบครัว งานจะดีหรือไม่ดี พนักงานจะเข้าหรือออก แต่รู้เลยว่าในฐานะ CEO ต้องทำให้ดีที่สุดในส่วนที่เราทำได้” แดน กล่าวทิ้งท้าย
เดินหน้าสู่เป้า Carbon Negative Company
ที่ผ่านมา NRF ได้เคยประกาศวิสัยทัศน์ ในการมุ่งสู่บริษัทที่ลดคาร์บอนมากกว่าปล่อย หรือ Carbon Negative Company “แดน” กล่าวว่า หากทำสำเร็จภายในปี 2030 ถือเป็นความสำเร็จมากในระดับหนึ่ง เพราะลูกค้า พันธมิตร เขาจะรู้ว่าการทำงานร่วมกับ NRF เขาจะได้ประโยชน์ เราเป็นบริษัทที่ดี ถัดมา คือ ตอบโจทย์ Mission ทำอย่างไรในการใช้ระบบอาหาร ต่อสู้กับโลกร้อน เช่น Plant based ก็เป็นการต่อสู้กับโลกร้อนในระดับหนึ่ง รวมถึงหากทานน้ำจิ้มผลิตโดย NRF ก็อยากให้รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
“แน่นอนว่าเราก็อยากจะโตก้าวกระโดดในเรื่องของรายได้และกำไร สุดท้าย อยากจะอยู่ในตำแหน่งบนโลกนี้ที่เป็นบริษัทแรกที่เป็นผู้นำในการใช้อาหารต่อสู้กับโลกร้อน ณ ปัจจุบันยังไม่มีใครทำแบบนี้อย่างแท้จริง สิ่งที่เราทำอยู่เป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่ที่สุด เพราะปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ หากแก้ได้ แน่นอนว่าโอกาสก็อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น คิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะเดินตาม Mission ได้ แค่นี้ก็เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาก” แดน กล่าว