ทริค!! ดื่ม-ดริงก์ อย่างไร? ไม่ให้อ้วน แผนลดน้ำหนักต้องเดินหน้าต่อ
เทศกาลงานรื่นเริง 'วันสงกรานต์' นอกจากเล่นน้ำ ไหว้พระ รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองแล้วนั้น 'งานเลี้ยงสังสรรค์' คงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ใครหลายๆ คนได้เตรียมพร้อมร่างกายอย่างเต็มที่ ยิ่งต้องดื่มต้องดริงก์ ก็คงจัดเต็มไม่น้อย
Keypoint:
- ปฎิเสธไปงานเลี้ยงสังสรรค์คงเป็นเรื่องยากของใครหลายๆ คน ยิ่งคนที่กำลังลดความอ้วน การไปดื่ม-กิน ย่อมส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
- ทุกคนสามารถสนุกกับปาร์ตี้ โดยไม่ต้องกลัวอ้วน ขอเพียงวางแผน กิน-ดื่มแต่พอดี ดื่มน้ำเปล่าคู่เครื่องดื่ม อย่าดื่มตอนท้องว่าง
- การแก้อาการเมาค้างที่ได้ผล 100% คือดื่มแต่น้อย และดื่มอย่างมีสติ รวมถึงการดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ น้ำขิงอุ่น น้ำผักและผลไม้ปั่น และนอนหลับให้เพียงพอ
แถมยิ่งถ้าในช่วงนี้ใครที่กำลังไดเอต ลดน้ำหนัก บอกได้เลยว่ายากมากที่จะปฎิเสธการดื่ม การกินที่ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนฝูงมาชักชวน หรือจำเป็นต้องไปร่วมงานก็ต้องดื่มกิน เพิ่มความเจ้าเนื้อ ความอ้วนเข้าไปอีก
วันนี้ 'กรุงเทพธุรกิจ' ได้นำเสนอทริคดีๆ ในการดริงก์ การดื่ม กินเที่ยว สร้างสรรค์ที่จะไม่ให้แผนลดน้ำหนักของใครหลายคนล่มไม่เป็นท่า โดยอย่างแรกที่ควรทำ คือ
1. วางแผนควบคุมอาหารในมื้อถัดไปไว้
เมื่อต้องออกไปดื่มสังสรรค์แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่แรกที่ควรทำ คือ การวางแผนรับประทานในมื้อถัดไป เพราะถ้าเล่นกินเต็มที่ ทั้งเครื่องดื่ม และกับแกล้ม อาหารคาวหวาน ทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะ น้ำหนักเจ้ากรรมที่พยายามลดแล้วลดอีก ได้เพิ่มขึ้นเป็นแน่ ดังนั้น ก่อนที่จะไปดื่ม ควรวางแผนเรื่องการรับประทานอาหารใหม่ และเน้นเรื่องการออกกำลังกายให้มากขึ้น บรรดาน้ำตาลและแป้งที่ทำให้อ้วนจะต้องเบิร์น ออกให้เร็วที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เช็กสิ่งที่ควรทำ - หลีกเลี่ยงในช่วงหน้าร้อน เรื่องที่ผู้สูงอายุควรทำ
เตรียมตัวให้พร้อม 'เที่ยวสงกรานต์' ฉบับคลายร้อน สนุก ปลอดภัย
หน้าร้อนระวัง ‘ฮีทสโตรก' ยาไทยคลายร้อนผู้สูงอายุ
ไอเดีย'ของขวัญ-ของฝาก'ดีต่อใจให้ผู้สูงอายุ ญาติผู้ใหญ่ในช่วงสงกรานต์
ทริคดริงก์อย่างไร? ให้ไม่อ้วน
2. กินให้อิ่มก่อนไปดื่ม
อย่าปล่อยให้ตัวเองท้องว่างแล้วไปดื่มสังสรรค์เป็นอันขาด เพราะไม่เช่นนั้นนอกจากเราจะกินมากขึ้นแล้ว เวลาท้องว่าง ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาล รวมทั้งแอลกอฮอล์ได้ง่ายที่สุด ทำให้เมาเร็ว และมีน้ำตาลที่กลายเป็นไขมันสะสมมากขึ้น แถมยังจะทำให้หยิบกับแกล้มกินแบบลืมตัว จนทำให้กินมากกว่าปกติ ทางที่ดีควรรับประทานอาหารให้อิ่มก่อน โดยเน้นอาหารจำพวกไฟเบอร์ จะได้อยู่ท้องนาน ๆ ไม่เผลอหยิบอะไรใส่ปากมากเกินไป
3. ดื่มแต่พอดี
การไดเอตจะไม่มีทางพัง หรือล่มเลิกเป็นอัดขาดหากรู้จักดื่มในปริมาณที่พอดี ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ก็ไม่ควรจะปล่อยให้ตัวเองดื่มหรือหยิบกับแกล้มมากินมากเกินไป การสังสรรค์ไม่จำเป็นต้องดื่มเยอะหลาย ๆ แก้ว สั่งแค่แก้วเดียวแล้วค่อย ๆ จิบไปเพลิน ๆ ก็สนุกได้เหมือนกัน
4. เลือกดื่มแชมเปญแทนเครื่องดื่มอื่น ๆ
หากต้องดื่มจริงๆ และมีเครื่องดื่มมากมายให้เลือก ควรเลือกดื่มแชมเปญ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีแคลอรี่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มอื่น ๆ โดย
- แชมเปณ1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีปริมาณแคลอรีเพียง 89 กิโลแคลอรี
- เบียร์ 1 ไพน์ (568 มิลลิลิตร) มีปริมาณแคลอรีถึง 182 กิโลแคลอรี
อีกทั้งแชมเปญยังเป็นเครื่องดื่มที่มีฟอง ซึ่งเครื่องดื่มที่มีฟองจะช่วยชะลอการดื่ม แต่ก็อย่างไรก็ตาม อย่าดื่มมากจนเกินไปนะ เพราะดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดสามารถเมาได้ แถมยังทำให้ท้องอืดอีกด้วย ใช้วิธีค่อย ๆ จิบช้า ๆ จะดีกว่า
เช็กศัตรูตัวฉลาจที่ทำให้เผลอดื่ม-กิน น้ำหนักเพิ่ม
5. ระวังกับแกล้มไว้ให้ดี
นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ก็มีเจ้ากับแกล้มที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของการลดน้ำหนัก ฉะนั้น อย่าให้ของว่างเหล่านั้นมาทำให้เผลอตัวเผลอใจเป็นอันขาดหยิบเข้าปากจนน้ำหนักเพิ่ม หรือให้นำกับแกล้มไปให้ไกลจากสายตาของคุณ ก็จะช่วยให้ไม่หลุดออกจากแผนไดเอตได้
6. เลือกไวน์แดงแทนไวน์ขาว
ถ้าบนโต๊ะอาหาร งานสังสรรค์มีเครื่องดื่มให้เลือกระหว่างไวน์แดงกับไวน์ขาว ควรจะเลือกไวน์แดงเป็นอย่างยิ่ง เพราะไวน์แดงช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ลดไขมันในเส้นเลือด แถมยังมีงานวิจัยจาก Harvard Medical School ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2013 เผยว่าสารเรสเวอราทรอลที่พบในไวน์แดง สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายและป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย
อีกทั้ง ปริมาณแคลอรีในไวน์แดงยังแตกต่างจากไวน์ขาวไม่มาก โดยไวน์แดง 1 แก้ว (148 มิลลิลิตร) มีปริมาณแคลอรี 125 กิโลแคลอรี และไวน์ขาวในปริมาณเท่ากันก็มีปริมาณแคลอรี 121 กิโลแคลอรี ซึ่งห่างกันเพียงนิดเดียว แต่ได้ประโยชน์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม อย่าดื่มมากจนเกินไป เพราะไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ดื่มมากก็อ้วนได้เช่นเดียวกัน โดยปริมาณการดื่มไวน์แดงที่เหมาะสมคือ
- ผู้ชายไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว และผู้หญิงไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้วค่ะ
7. เลี่ยงค็อกเทลแบบปั่น
ค็อกเทล เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดที่หลายคนนิยมดื่มกัน โดยค็อกเทลแต่ละชนิดมีปริมาณน้ำตาลแตกต่างกัน แต่ถ้าเลือกได้ไม่ควรดื่มค็อกเทลแบบปั่นโดยเด็ดขาด เพราะค็อกเทลแบบปั่นจะเติมน้ำเชื่อมเพิ่มลงไปอีก ทำให้หวานกว่าเดิม ซึ่งยิ่งหวานก็ยิ่งอ้วน ทางที่ดีเลี่ยง ๆ แล้วเลือกค็อกเทลแบบธรรมดาดีกว่า
8. ดื่มน้ำเปล่าคู่กับเครื่องดื่ม
การดื่มน้ำเปล่าไปด้วยขณะที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยเจือจางระดับแอลกอฮอล์และน้ำตาลในเลือดได้ อีกทั้งยังลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงได้ด้วย โดยการดื่มน้ำอย่างน้อย 350 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1 แก้ว สลับกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เราดื่มได้ช้าลง และทำให้ไม่รู้สึกมึนเมาง่ายอีกด้วย
9. อาสาเป็นคนขับรถ
เป็นท่าไม้ตายสุดท้ายที่จะทำให้หลีกเลี่ยงไม่ดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีที่สุด ถึงจะปฏิเสธไปร่วมงานไม่ได้ แต่ปฎิเสธการดื่มได้ โดยใช้วิธีอาสาเป็นคนขับรถรับ-ส่งให้ ถ้าทุกคนดื่มกันจนเมาหมด ก็ต้องมีคนขับรถไปส่งทุกคน ฉะนั้นถ้ายื่นข้อเสนอนี้ไปเพื่อนๆ จะยอมรับ และไม่ต้องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ต้องเลี้ยงพวกเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ควรรับประทานอย่างพอดี
อาการเมาค้าง ผลพวงจากงานปาร์ตี้
อย่างไรก็ตาม การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากส่งผลกระทบต่อสมองแล้ว ยังผลต่อตับ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันสะสมที่ตับ (fatty liver) รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้สารพิษที่ร่างกายได้รับมาสะสมในตับ หากดื่มบ่อยๆ อาจนำไปสู่ตับอักเสบ พังผืดที่ตับ และกลายเป็นตับแข็งได้ในที่สุด
โดยแอลกอฮอล์ มีชื่อทางเคมีว่า Ethanol หรือ Ethyl Alcohol จัดเป็นสารกดประสาทชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายเราจะทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดออกไป แต่ผลกระทบอาจจะไม่ใช่แค่รอตับกำจัดแค่นั้น แต่ระหว่างที่รอ แอลกอฮอล์จะส่งผลมากมายต่อร่างกาย
เมื่อแอลกอฮอล์เดินทางไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เพื่อดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา (อินซูลินเป็นฮอร์โมนขี้งก ที่ชอบออกมาเก็บน้ำตาลในเลือดที่ล่องลอย เข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงมากจนเกินไป)
หากปล่อยให้ท้องว่าง ระดับน้ำตาลในเลือดจะน้อยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากเผลอดื่มแอลกฮอล์ไปทีละมากๆ จะยิ่งถูกฮอร์โมนอินซูลินออกมาขโมยน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง จึงเกิดอาการคล้ายน้ำตาลตก และจะเริ่มมีอาการมึนๆ งงๆ ตามมา และมึนเมาได้ไวกว่าคนที่รองท้องมาด้วยอาหาร หรือทานของแกล้มไปด้วย
เมื่อแอลกอฮอล์ไหลวนในกระแสเลือดแล้ว จะเดินทางไปยังสมอง โดยจะถูกซึมซับเข้าสู่สมองหลายส่วน เช่น
สมองส่วนหน้า (Frontal lobe) มีทำหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจ อารมณ์ ความคิด สติปัญญา บุคลิกภาพ หากดื่มมากไป จะทำให้เราขาดความยับยั้งชั่งใจ ตัดสินใจผิดพลาด บุคลิกภาพที่ผิดปกติอาจเผยออกมา (เช่น จากสาวเรียบร้อยก็อาจจะเต้นคึกคักแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนได้) สำหรับผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ เมื่อสมองส่วนนี้ถูกทำลาย จะทำให้การเรียนรู้ การเข้าสังคมผิดปกติได้
สมองส่วนความจำ (Hippocampus) เป็นหน่วยเก็บความทรงจำที่ดราม่าทั้งหลายของเรา และความทรงจำปกติ หากแอลกอฮอล์ซึมเข้าไปถึงส่วนนี้ เราจะเริ่มจำสิ่งต่างๆ ในวันนั้นได้เลือนราง บางครั้งความทรงจำที่เก็บซ่อนไว้ ก็เผยออกมาให้ต้องร้องไห้ฟูมฟายคุมสติไม่ได้ ใครที่บอกว่ากินเหล้าแล้วจะลืมเรื่องบางอย่างได้ อาจไม่ใช่เสมอไป สำหรับผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ เมื่อสมองส่วนนี้ถูกทำลาย จะทำให้เป็นโรคความจำเสื่อม การเรียนรู้ผิดปกติ ดังนั้นในช่วงก่อนสอบจึงไม่แนะนำให้ไปดื่ม
สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) สมองส่วนนี้ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ความหิว ความอิ่ม การนอนหลับ หากสมองส่วนนี้ถูกซึมซับด้วยแอลกฮอล์จะทำให้ หิวง่าย กระหายน้ำ การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตจะผิดปกติแปรปรวน และคุณภาพการนอนผิดปกติ
สมองส่วนซีรีเบลลัม (Cerebellum) ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย เมื่อดื่มเข้าไปมากๆ ก็จะเริ่มเดินไม่ตรง เดินไปชนคนนั้น คนนี้ บางคนอาจทำแก้วที่ถืออยู่หล่นได้ ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์จึงมีปัญหาเรื่องการทรงตัวด้วย
ก้านสมอง (Brain Stem) คอยควบคุมการส่งถ่ายข้อมูลจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อดื่มในปริมาณมาก จะทำให้การรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ช้าลง
ก้านสมองส่วนท้าย หรือ เมดัลลา (medulla oblongata) มีหน้าที่เหนืออำนาจจิตใจเกี่ยวกับการควบคุม การอาเจียน การหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันเลือด หากดื่มมากไป จะทำให้คลื่นไส้ได้ง่าย และถ้าดื่มมากเกินที่ร่างกายจะรับไหว จะทำให้หมดสติ ช็อค หยุดหายใจ และเสียชีวิตได้
ดังนั้น การดื่มแต่พองาม พอมึน พอตัว นอกจากจะช่วยให้เรายังพอมีสติอยู่ได้ ยังช่วยชีวิตสมองในหลายๆ ส่วนด้วย สำหรับอาการเมาค้างนั้น จะมีอาการ คือ ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อตามร่างกาย กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง นอนหลับไม่สนิท ไม่มีสมาธิ ชีพจรเต้นเร็ว หากเกิดอาการเมาค้างที่รุนแรงมากจนไม่สามารถลุกขึ้นมาทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวันได้ อาจเป็นสัญญาณของภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ ซึ่งถือว่าอันตรายต่อชีวิต ต้องรีบมาโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน
เมาค้าง เกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของ อะซิตัล แอลดีไฮด์ (Acetal aldehyde) โดยเอนไซม์ alcohol dehydrogenase แต่ อะซิตัล แอลดีไฮด์ มีพิษต่อเซลล์ร่างกาย ร่างกายจึงมีเอนไซม์ Acetal dehydrogenase มาเปลี่ยนให้เป็น สารอะซีเตต ( Acetate) ที่ไม่มีพิษ และ ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงาน ได้ แต่ในร่างกายคนเราบางคน ผลิตเอนไซม์ Acetal dehydrogenase ได้ในปริมาณที่จำกัด จึงเกิดการสะสมของ Acetal aldehyde ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ ทำให้ระบบประสาทและสมอง ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมอาหาร การนอนหลับ ผิดปกติได้
วิธีแก้แฮงค์ สำหรับสายHang out
จากงานวิจัยมากมาย ระบุว่า ไม่มียาลดการเมาใดๆ หรือยาสูตรสำเร็จแก้อาการเมาค้างได้ผล 100% ดีที่สุดคือดื่มแต่น้อย ส่วนวิธีที่มักนิยมใช้แก้อาการ เมาค้าง เช่น
- ดื่มน้ำเปล่าครั้งละ 1-2 แก้ว บ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายปวดปัสสาวะ และน้ำจะพาสารตกค้างจากแอลกอฮอล์ออกมากับปัสสาวะ บางคนอาจดื่มชาร่วมด้วย เพราะชามีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ
- รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก อาจพอช่วยลดอาการเมาค้างได้บ้าง
- ดื่มน้ำผักและผลไม้ปั่น รสออกเปรี้ยวหวาน อาจช่วยได้ เนื่องจากเราจะสูญเสียวิตามินแร่ธาตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ จนทำให้มีอาการอ่อนเพลียได้ หรืออาจใช้วิตามินชนิดเม็ดฟู่ละลายน้ำดื่มก็สามารถทำได้ไม่มีข้อห้าม
- สำหรับผู้ที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน การดื่มน้ำขิง ชามินต์ อาจช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
- วิตามินอาหารเสริม ที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี แมกนีเซียม และกรดอะมิโนแอล-ซีสเทอีน (L-Cysteine)
- หากมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ร่วมด้วย สามารถทานยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ได้ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟ่น หรือยาตัวอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนซื้อยา เพื่อซักถามประวัติการแพ้ยาอย่างละเอียดก่อนที่จะทาน
- สำหรับกาแฟนั้น อาจไม่ได้ช่วยทำให้อาการแฮงค์ดีขึ้น แต่อาจทำให้เราตื่นตัว แต่ถ้าร่างกายยังพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนน้อย เมื่อหมดฤทธิ์กาแฟ จะทำเพลียหนักมากกว่าเดิมถ้ายังฝืนทำงานต่อ
เตรียมตัวอย่างไรไม่ให้แฮงค์
ก่อนไปดริงก์ สิ่งที่สำคัญกว่า คือการเตรียมตัวอย่างไรไม่ให้แฮงค์ หากรู้ตัวว่าแฮงค์ง่าย สามารถลองทำตามนี้ได้
- อย่าปล่อยให้ท้องว่างก่อนไปดริ้ง หาข้าวหรืออาหารเบาๆ รองท้องไปสักหน่อย เพราะถ้าท้องว่าง เราจะเมาง่ายและน้ำตาลในกระแสเลือดตกวูบได้ หากไม่ได้รองท้องไป ควรสั่งกลับแกล้มเพื่อให้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง
- อย่าดื่มแอลกอฮอล์ทีละมากๆ หรือเข้มข้นมากจนเกินไป แนะนำให้ผสมกับเครื่องดื่มหรือ มิกเซอร์ และค่อยๆ ดื่ม
- ดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว ทุกชั่วโมงเพื่อไม่ให้ระดับแอลกฮอล์ในเลือดเข้มข้นจนเกินไป และทดแทนน้ำที่เสียไปกับปัสสาวะ ระหว่างดื่มแอลกอฮอล์
- การทานวิตามินรวมหรือกรดอะมิโนแอล-ซีสเทอีน (L-Cysteine) ก่อนไปดริ้ง อาจช่วยลดการอักเสบของตับ จากการที่เซลล์ตับถูกแอลกอฮอล์ทำร้ายได้
อ้างอิง: โรงพยาบาลสมิติเวช