'Half Written Story' ของ ‘เฮลี่ สไตน์เฟลด์’ สาวน้อยมหัศจรรย์ที่ถูกเมิน
ทำความรู้จักกับ 'เฮลี่ สไตน์เฟลด์' นักร้องนักแสดงสาวที่ถูก underrated มากที่สุดคนนึง ผ่านอัลบั้มใหม่ล่าสุด Half Written Story ที่ออกมาให้ฟังกันเพลิน ๆ ในช่วงกักตัว
หายหน้าจากวงการเพลงไปนานถึง 4 ปี เพราะมัวแต่ไปโฟกัสอยู่กับงานแสดงจนทำให้หลายคนอาจจะหลงลืมไปแล้วว่า เฮลี่ สไตน์เฟลด์ (Hailee Steinfeld) สาวน้อยมาดเท่ที่เป็นเพื่อนซี้กับเจ้าหุ่นกระป๋องสีเหลืองในหนังหุ่นยนต์ฟอร์มยักษ์เรื่อง Bumblebee ร้องเพลงได้ดีไม่แพ้ผลงานการแสดงเลยทีเดียว
จริงๆ แล้วต้องบอกว่า เฮลี่ สาวน้อยอเมริกันวัย 24 ปีคนนี้ถูก underrated อยู่พอสมควร มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้ง ๆ ที่เฮลี่เป็นศิลปินที่มีความสามารถรอบด้าน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากหนังคาวบอยเรื่อง True Grit (2010) ขณะมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น
หลังจากนั้น ‘เฮลี่’ ก็ได้รับบทที่ถึงแม้จะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ช่วยขัดเกลาฝีมือด้านการแสดงของเธอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น Ender's Game (2013), Romeo & Juliet (2013), Begin Again (2013) ในบทลูกสาวของมาร์ค รัฟฟาโล, 3 Days to Kill (2014), Pitch Perfect film series (2015–2017) ก่อนจะมาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่อีกรอบ คราวนี้เป็นรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก จาก The Edge of Seventeen (2016)
จากนั้นเฮลี่ก็มีผลงานที่เริ่มจะแมสขึ้นอย่างการพากย์เสียง เกว็น สเตซี หรือ สไปเดอร์วูแมน ในหนังแอนิเมชั่นเรื่องดัง Spider-Man: Into the Spider-Verse ก่อนจะมารับบทนักแสดงนำเต็มตัวใน Bumblebee ตามมาด้วยบทกวีเอกชาวอเมริกัน ‘เอมิลี ดิกคินสัน’ ในซีรีส์เรื่อง Dickinson ที่จะออกฉายทาง Apple TV เร็ว ๆ นี้
ในส่วนของงานเพลง เฮลี่แสดงความเป็น ‘สาวน้อยมหัศจรรย์’ ให้เห็นอีกครั้ง ด้วยการร้องเพลง Flashlight ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Pitch Perfect 2 (2015) ที่เธอร่วมแสดงเพียงแค่เพลงเดียวก็ถูกจับเซ็นสัญญากับค่าย Republic Records ได้ปล่อยเดบิวต์ซิงเกิล Love Myself ตามมาด้วย EP แรกในชีวิตที่ชื่อ Haiz (2015) ที่มีเพลงดังอย่าง Love Myself และ Rock Bottom
แม้จะทำเพลงออกมาไม่เยอะ (เพราะหนีไปเอาดีด้านการแสดงซะมากกว่า) แต่เฮลี่ก็มีเพลงฮิตติดชาร์ตอยู่ไม่น้อย ทั้ง Starving ที่ออกร่วมกับวง Grey มีดีเจดัง Zedd มาฟีทเจอริ่งด้วย เพลงนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 12 ในชาร์ต Billboard Hot 100 หรือเพลง Let Me Go ที่ทำร่วมกับ Alesso, Florida Georgia Line, Watt ที่ได้อันดับ 14 ใน Mainstream Top 40 chart
แล้วแน่นอนว่าในหนัง Bumblebee ที่เธอรับบทนางเอก เฮลี่ก็ไม่พลาดที่จะร้องเพลงประกอบแนวอิเล็กโทรป๊อปที่ชื่อ Back to Life เอาไว้
ถ้าหากจะให้คำนิยามเกี่ยวกับ ‘เฮลี่ สไตน์เฟลด์’ ก็คงต้องบอกว่าเธอเป็น ‘นักแสดงที่ร้องเพลงได้เพราะมาก’ หรือจะบอกว่าเธอเป็น ‘นักร้องที่แสดงหนังได้เก่งมาก’ ก็ไม่ผิด เพราะเธอทำทั้งสองอย่างได้ดีไม่แพ้กัน
Credit: UNIVERSAL MUSIC THAILAND
แล้วในปี 2020 ที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติไวรัสโควิด-19 อยู่ในขณะนี้ ‘เฮลี่ สไตน์เฟลด์’ ก็ได้ปล่อยงานเพลงดี ๆ ออกมาเยียวยาหัวใจของเราให้คลายเครียดจากการกักตัว ใน EP อัลบั้มที่ชื่อ Half Written Story ซึ่งได้ Koz โปรดิวเซอร์มือดีที่เคยทำเพลงให้ Madonna และ Dua Lipa มาทำเพลงให้
หากใครยังติดภาพของเฮลี่ใน Bumblebee และติดใจเพลงประกอบภาพยนตร์ซึ่งเป็นการรวบรวมเพลงดังจากนักร้องนักดนตรีอังกฤษที่เป็นไอค่อนของยุค 80 มาไว้ด้วยกันละก็ บอกเลยว่าคุณจะหลงรักอัลบั้มนี้ของเฮลี่ได้ไม่ยาก เพราะเธอได้นำเพลงคลาสสิคอย่าง No More I Love You’s ของ Annie Lennox มาปรับแนวดนตรี และเนื้อร้องให้ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น แถมยังเปลี่ยนชื่อเพลงให้กระชับขึ้นเป็น I Love You’s
I Love You’s เป็นซิงเกิลแรกที่ปล่อยออกมาจากอีพีอัลบั้มนี้ และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยสื่อต่างประเทศยกให้เป็นเพลง “Upbeat ติดหู เพลงเพราะฟังง่ายจนต้องเปิดฟังวนไปเรื่อยๆ”
แล้วเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ค่ายเพลง ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค (ประเทศไทย) ได้เปิดโอกาสให้ จุดประกาย มีโอกาสร่วมสัมภาษณ์ เฮลี่ สไตน์เฟลด์ กันสด ๆ ส่งตรงมาจากสหรัฐอเมริกา ผ่านไลฟ์สตรีม เกี่ยวกับความเป็นมาของอัลบั้ม Half Written Story ซึ่งเธอบอกเอาไว้ว่า
“เป็นการรวบรวมเอาเพลงที่แทนความรู้สึกต่าง ๆ ของเธอเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความท้อแท้ผิดหวัง ความสับสน โดดเดี่ยว เพื่อให้ตัวเองมีพลัง แล้วก็เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้”
โดยเฮลี่บอกว่าคนเราต้องผ่านอะไรหลายอย่างในชีวิตถึงจะไปต่อได้ อย่างเธอเองก็ต้องสูญเสียความเป็นตัวเองบางอย่างไปก่อนถึงจะเรียกความเชื่อมั่น แล้วก็กลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิมได้
ส่วนชื่ออัลบั้ม Half Written Story นั้นมาจากเพลง Your Name Hurts ในอัลบั้มนี้ ซึ่งเปิดมาด้วยประโยคที่ว่า We're a half-written story without any ending. You left me to figure it out. ซึ่งเฮลี่บอกว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับบางสิ่งที่จบลงไปแล้วโดยที่ยังไม่ถึงจุดจบ
Credit : UNIVERSAL MUSIC THAILAND
ส่วนการนำเพลง No More I Love You มาทำใหม่เป็นเพลง I Love You's นั้นมีความพิเศษมาก โดยเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นคนพูดประโยคนั้นออกมาด้วยตัวเอง แต่เป็นการพูดในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่การเอ่ยออกมาตรง ๆ
เฮลี่พยายามอธิบายความรู้สึกนี้ให้เราฟังด้วยประโยคที่ว่า No more I love you until I’m ok. (ฉันไม่รักคุณแล้วนะจนกว่าฉันจะโอเค) โดยเธอบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการมานั่งไตร่ตรอง ใช้เวลาโฟกัสกับตัวเองโดยไม่มีความสัมพันธ์อะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจ จนกว่าเธอจะตั้งตัวได้ พร้อมเสริมว่าตอนที่ฟังเพลงนี้ครั้งแรกเธอรู้สึกว่ามันโดนแบบสุด ๆ
อย่างที่บอกไปแล้วว่า เฮลี่ เป็นทั้งนักร้องที่เก่งและเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ แล้วถ้าหากให้เลือกเพลงในอัลบั้ม Half Written Story มาทำเป็นหนัง เธออยากจะเล่นเรื่องไหน (หรือเพลงไหน) มากที่สุด
เฮลี่บอกว่าขอเลือกเพลง Your Name Hurts เพราะเธอรู้สึกว่าเพลงนี้มันกระทบความรู้สึกที่แตกต่างกันหลายความรู้สึก ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพ (visual) ที่น่าสนใจขึ้นมาถ้าเอาไปสร้างหนัง ส่วนอีกเพลงก็คือ Wrong Direction ที่เธอมองว่ามันมี cinematic elements (มีองค์ประกอบด้านภาพยนตร์) อยู่
ส่วนนักแสดงที่จะมาร่วมเล่นในหนังที่สร้างจากเพลงของเธอนั้น เฮลี่บอกว่าขอไม่มีดีกว่า มีแค่เธอเพียงคนเดียวก็พอ
เฮลี่ไปร่วมงาน BRIT Awards 2020 ที่กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
Tolga AKMEN / AFP
Half Written Story เป็น EP อัลบั้มที่ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด 5 เพลง โดยอีกเพลงที่น่าสนใจในอัลบั้มนี้ คือ END this (L.O.V.E.) ซึ่งเป็นการนำเพลง L-O-V-E ของราชาเพลงแจ๊ส Nat King Cole มาทำใหม่ได้อย่างมีเสน่ห์ และมีสไตล์ในแบบของเฮลี่เอง
อย่างเนื้อเพลงท่อนแรกมีการดัดแปลงจากเพลงรักต้นฉบับของแน็ต คิง โคล ที่ร้องเอาไว้ว่า “L is for the way you look at me / O is for the only one I see / V is very, very extraordinary / E is even more than anyone that you adore can”
แต่ เฮลี่ นำมาเปลี่ยนเนื้อใหม่ ให้กลายเป็นเพลงรักที่เจ็บปวดมากขึ้นว่า “L is for the way you lied to me / O is I’m the only one who sees that / V, you’re so vindictive, so I’ll be vicious / and E-N-D this L-O-V-E.”
ในระหว่างสัมภาษณ์ เฮลี่ได้ถูกขอให้เลือกคำ 3 คำ ที่บ่งบอกความเป็นเพลงของเธอ ซึ่งสาวน้อยมหัศจรรย์แห่งวงการบันเทิงคนนี้ได้เอาไว้ว่า emotional, empowering และ love
ลองไปฟังอัลบั้ม Half Written Story ของ เฮลี่ สไตน์เฟลด์ กัน แล้วดูสิว่าคุณจะสัมผัสได้ถึง อารมณ์ความรู้สึก ความมีพลัง แล้วก็ความรัก ได้จากเสียงร้องและบทเพลงของเธอไหม