สธ.หนุนวิจัยวัคซีนโควิด 19 หลายช่องทาง เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึง
สธ.หนุนวิจัยวัคซีนโควิด 19 หลายช่องทาง เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึงเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก
วันนี้ (11 กันยายน 2563) ที่อิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการประชุมติดตามความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยและแผนการสนับสนุน ว่า โรคโควิด 19 ยังคงระบาดทั่วโลก แม้ประเทศไทยจะควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่ยังต้องดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคทุกด้านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมกับการทดลองวัคซีนโควิด 19 ของสถาบันหลักต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงการวิจัยและพัฒนาภายในประเทศด้วย เพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่เข้าถึง เกิดการผลิตวัคซีนที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก พึ่งพาตนเองได้
“การประชุมในวันนี้ เป็นการปรึกษา หารือ ระดมสมอง และให้ความคิดเห็น ติดตามความก้าวหน้าการวิจัยวัคซีน เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลสนับสนุนการวิจัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะมีอุปสรรคปัญหาใด ขอให้คำยืนยันว่า การวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 และการผลิตวัคซีนเป็นวาระสำคัญ ส่วนเรื่องงบประมาณสนับสนุนมีการทำบันทึกความเข้าใจและเงื่อนไขกับสถาบันต่าง ๆ ที่ทำการวิจัยซึ่งเราไม่ได้เจาะจงร่วมกับสถาบันใดเพียงแห่งเดียว แต่กระจายโอกาสออกไปในทุกสถาบันที่พิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพสูง และมีความเป็นไปได้ที่ประสบความสำเร็จ” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทแอสตราเซเนกา ที่ชะลอการทดลองวิจัยวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากพบปัญหามีผลกระทบกับผู้ทดลองวัคซีน ตามหลักการต้องศึกษาและแก้ไขปัญหาอาจทำให้ล่าช้า ส่วนที่ประเทศไทยไปร่วมมือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมานั้น ไม่ได้มีความเสียหาย เพราะเมื่อวัคซีนได้รับการยอมรับ ไทยก็ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตในประเทศต่อไป ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ร่วมมือกับหลายสถาบันทั่วโลก รวมถึงเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ที่อยู่ภายใต้องค์การอนามัยโลกด้วย เพื่อให้มีหลายช่องทางในการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากไม่มีอะไรรับประกันว่า การเข้าร่วมกับหน่วยงานเดียวแล้วถึงประสบความสำเร็จ
ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวัคซีนฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 โดยใช้ในกิจการที่มีความเร่งด่วน 2 ส่วน คือ การวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 400 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาปรับปรุงศักยภาพวัคซีนที่เป็นการทดสอบในลิง และการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาวัคซีนของประเทศอีก 600 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากหน่วยงานใดก็ได้ที่มีความพร้อม สำหรับการสนับสนุนในส่วนอื่น ๆ การประชุมในวันนี้จะได้รับทราบความก้าวหน้า โดยสถาบันวัคซีนฯ จะรวบรวมเพื่อพิจารณาว่า แต่ละส่วนต้องการการสนับสนุนอย่างไร เพื่อทำคำขอรับงบประมาณจากเงินกู้โควิด 19 ในกรอบวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพราะต้องการสนับสนุนทุกฝ่ายที่มีความพยายามพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับกรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ จัดการประชุมติดตามความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย โดยมีผู้วิจัยพัฒนาวัคซีนจากหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้าประชุมกว่า 200 คน