นวัตกรรมฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง ความหวังใหม่ผู้ป่วยมะเร็ง
แต่เดิม การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำเป็นวิธีรักษา "มะเร็ง" ที่แพร่หลายที่สุดในการทำเคมีบำบัด ซึ่งผู้ป่วยต้องอยู่ รพ. นาน ปัจจุบัน วิวัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้มีนวัตกรรมซึ่งเป็นยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ลดการอยู่ รพ. บรรเทาความกังวลผู้ป่วยได้อีกด้วย
ปัจจุบัน "โรคมะเร็ง" ถือเป็นหนึ่งในวิกฤตสุขภาพที่คุกคามประชาชนในประเทศไทยและทั่วโลกมานานหลายปี แต่ทว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 ส่งผลให้ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้น และยังเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วย โดยเฉพาะ "ผู้ป่วยมะเร็ง" ที่ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง ดังนั้น วงการแพทย์ต้องปรับตัวให้ทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีโทรเวชกรรม (Telemedicine) หรือการพัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงนวัตกรรมการวินิจฉัยและรักษาที่ช่วยย่นระยะเวลาในโรงพยาบาลให้แก่ผู้ป่วย ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับพาหะหรือเชื้อโรค และยังลดความแออัดในโรงพยาบาลลง
ที่ผ่านมา การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำเป็นวิธีการรักษาที่แพร่หลายที่สุดในการทำเคมีบำบัด ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลานานพอสมควร ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในโรงพยาบาลนานหลายชั่วโมงต่อรอบ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในแง่ของการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและผู้ดูแล รวมถึงในแง่ของการยกระดับระบบการดูแลสุขภาพ ได้มีการพัฒนา "นวัตกรรมยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง" เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งถือเป็นการแพทย์วิถีใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยลดช่วงเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงช่วยบรรเทาความกังวลให้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแลที่ต้องมาโรงพยาบาลอีกด้วย
พญ.ปิยวรรณ เทียนชัยอนันต์ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการบริการในโรงพยาบาลและบุคลากรการแพทย์ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการรักษา โดยผู้ป่วยมะเร็งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรงกว่าคนทั่วไป ปัจจุบันนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อการรักษามะเร็งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเป็นอย่างมาก
อาทิ การรักษาด้วย "ยามุ่งเป้า" ที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด HER-2 positive ด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง นวัตกรรมดังกล่าวได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการรักษาที่ดียิ่งขึ้น โดยมีการรวมยามุ่งเป้าสองชนิดในเข็มเดียวและให้ยาโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง "ยามุ่งเป้า" ต่อ HER-2 สองชนิดในเข็มเดียวกันแบบฉีดใต้ผิวหนังนี้ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่ามีประสิทธิภาพการรักษาไม่แตกต่างจากยาแบบให้ทางหลอดเลือดดำ
โดย "ยามุ่งเป้า" ต่อ HER-2 สองชนิดช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเกิดซ้ำของโรค และเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER-2 positive ทุกระยะได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ป่วยประหยัดเวลาในการรับยาได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ จาก 3-4 ชั่วโมงต่อครั้ง เหลือเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น และยังช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ และลดการแออัดในโรงพยาบาล
ความก้าวหน้าด้านการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดที่ร่วมกันทำงานและส่งเสริมนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพจำเพาะบุคคล ผู้ให้บริการสาธารณสุขจึงสามารถรับมือและจัดการกับภัยคุกคามจากมะเร็งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟาริด บิดโกลิ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โรช ไทยแลนด์ เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว กล่าวว่า โรช ไทยแลนด์ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ผ่านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการวินิจฉัยและการรักษาที่มีพื้นฐานมาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัย นอกจากนี้ เรายังสร้างความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการเข้าถึงการรักษาสำหรับผู้ป่วยในประเทศไทยให้ครอบคลุมและเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งเต้านมซึ่งเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้และมีอัตราการรอดชีวิตสูง หากผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพตั้งแต่เนิ่นๆ
นวัตกรรมการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมด้วยส่วนผสมของยามุ่งเป้าสองชนิดในเข็มเดียวกันและให้ยาด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ถือเป็นก้าวสำคัญของวิทยาการทางการแพทย์เพื่อยกระดับผลลัพธ์การรักษาให้กับผู้ป่วย ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน เวลากลายเป็นตัวแปรหลักต่อการเข้ารับบริการในโรงพยาบาล ดังนั้นการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งและผู้ดูแลที่ติดตามมาด้วยลดความเสี่ยงที่จะสัมผัสกับพาหะหรือเชื้อโรคได้ ขณะเดียวกันการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความคล่องตัวมากขึ้นยังช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล ทำให้บุคลากรการแพทย์ให้บริการกับผู้ป่วยรายอื่นๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย