ความเข้าใจผิดๆ เรื่อง"เบาหวาน"ที่คุณหมอช่วยตอบข้อสงสัย
แม้เรื่อง"เบาหวาน"จะถูกนำเสนออยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดในหลายประเด็น คุณหมอจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย มาช่วยตอบเพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องมากขึ้น
ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวาน และไม่ได้รับข้อมูลความรู้ รวมถึงการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
หากปล่อยไว้ อาจมีความเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อน อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ไตวาย โรคเกี่ยวกับดวงตา และอาจอันตรายถึงชีวิตได้
นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาธิการ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ มาร่วมไขข้อสงสัยและตอบคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานในเฟซบุ๊กเพจ ร้อยเรื่องโรคเบาหวาน
จริงหรือไม่ที่โรคเบาหวานมักมาคู่กับความอ้วน
คุณหมอตอบ : เป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่ง คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะแบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทแรก คือคนที่เป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัว เริ่มจากน้ำหนักตัวค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 126 คือเป็นเบาหวานแล้ว (ระดับน้ำตาลในเลือดปกติควรอยู่ที่ 100)
เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากๆ และมีภาวะอ้วน ร่างกายจะดื้อต่อการใช้อินซูลิน ทำให้มีปริมาณน้ำตาลในร่างกายเกินความจำเป็น
แม้น้ำหนักจะลดลงภายหลังก็ไม่ควรย่ามใจ เพราะอาจเป็นเบาหวานแล้ว ต้องเฝ้าระวังและหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะคนที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นเบาหวาน
รวมถึงคนที่มีภาวะอ้วนลงพุงก็เสี่ยงเช่นกัน โดยวัดจากขนาดรอบเอวที่เหมาะสมด้วยการนำส่วนสูงมาหารสอง ขนาดรอบเอวที่ดีไม่ควรเกินเลขส่วนสูงหารสอง หากมากกว่านั้นก็เสี่ยงเป็นเบาหวานได้
ส่วนผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่สองคือ เป็นเบาหวานที่พบตั้งแต่เด็ก ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะอ้วน
ร่างกายของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะขาดอินซูลิน ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ร่างกายจะผอมมาก ถือเป็นเบาหวานขั้นรุนแรง และมีความจำเป็นที่ต้องใช้อินซูลินในการรักษา
จริงหรือไม่...โรคเบาหวานสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม
คุณหมอตอบ : โรคเบาหวานสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกหลานได้ แต่ไม่ใช่ว่าต้องเป็นทุกคน
มีงานศึกษาวิจัยที่ศึกษาครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เป็นเบาหวาน พบว่าร้อยละ 60 ของบุตรหลานผู้ป่วยเหล่านั้นไม่เป็นเบาหวานหากมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง
ในทางกลับกัน สำหรับคนที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานหวานมาก ๆ แม้ไม่มีพ่อแม่เป็นผู้ป่วยเบาหวาน ก็สามารถสร้างยีนส์โรคเบาหวานและส่งต่อให้ลูกหลานได้เช่นกัน
โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หากพบว่าเป็นเบาหวาน ปริมาณน้ำตาลที่มากเกินพอดีจะถูกส่งไปที่ลูกในครรภ์ ทำให้ลูกมีขนาดตัวใหญ่ผิดปกติและส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกได้สิ่งที่ต้องพึงระวังมากกว่าคือ การได้รับอิทธิพลพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องในหมู่คนใกล้ชิดโดยไม่รู้ตัว ชวนกันกินของหวานหรือดื่มชาไข่มุกหลังมื้อเที่ยงเป็นประจำ ต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
สัญญาณเตือนโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง หากป่วยเป็นเบาหวานแล้ว ควรดูแลตัวเองไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างไร
คุณหมอตอบ : สัญญาณเตือนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มเสี่ยงแต่ไม่มีอาการ ได้แก่ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงแต่ไม่มีอาการ หรือกลุ่มคนที่มีประวัติพ่อแม่ป่วยเป็นเบาหวาน
กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่มีอาการมา ๆ หาย ๆ ได้แก่ อ้วนแล้วผอมลง อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก รับประทานอาหารเก่งแต่ไม่อ้วนขึ้น ตาพร่ามัวชั่วคราว สายตาเปลี่ยนเร็ว มือเท้าชา กลุ่มนี้ควรไปตรวจสุขภาพ
สาเหตุส่วนใหญ่ของเบาหวานคือ รับประทานหวานมากเกินความจำเป็นและไม่มีการออกกำลังกายและ/หรือเคลื่อนไหวร่างกายเพียงพอ
น้ำตาลจึงเข้าไปสะสมและก่อโรคที่ไม่ใช่แค่เบาหวาน รวมถึงโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันพอกตับ และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
วิธีดูแลตัวเอง คือ ควบคุมอาหารให้เหมาะสมและออกกำลังกาย หากรับประทานหวานแล้ว ควรออกเดินและหรือออกกำลังกายภายในวันเดียวกัน
จริงหรือไม่...ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าใช้อินซูลินแล้ว แปลว่าเป็นเบาหวานระยะสุดท้าย
ไม่จริง ความจริงแล้วอินซูลินมีบทบาทสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยเบาหวานเกือบทุกระยะ เนื่องจากอาการเบาหวานของผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกัน
บางรายเป็นเบาหวานระยะเริ่มต้น แต่จำเป็นต้องได้รับอินซูลินสม่ำเสมอ เพราะร่างกายไม่สามารถดึงเอาน้ำตาลมาใช้ได้ปกติ
และในอนาคต อินซูลินอาจพัฒนาไปมากขึ้นจนสามารถฉีดได้สัปดาห์ละครั้ง เทียบกับปัจจุบันที่ต้องฉีดวันละหลายครั้ง และมีขนาดพกพาเท่าปากกา รวมถึงการสร้างตับอ่อนเทียมเพื่อช่วยสร้างอินซูลิน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับผู้ป่วยเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น