เด็กปฐมวัยเรียนแบบไหน? ให้มีความสุข ต้องเรียนวิชาการจริงหรือ!
‘การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัย’ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าให้ผลตอบแทนแก่สังคมดีที่สุดในระยะยาว โดยคืนผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคตมากถึง 7 เท่า!!
Keypoint:
- ปฐมวัย คือช่วงเวลาตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์จนถึงอายุ 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการและอนาคตของเด็ก เด็กต้องได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่
- การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ด้านวิชาการ แต่ควรเป็นกิจกรรม กระบวนการเรียนรู้ที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติตามวัยของเด็ก เน้นเตรียมพร้อมทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
- วิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิต แต่ทั้งนี้ในช่วงเด็กปฐมวัย ควรเป็นการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามช่วงวัย
คำกล่าวของ ศ.ดร.เจมส์เจ เฮกแมน จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ แสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยเริ่มต้นที่ ‘เด็กปฐมวัย’ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
เพราะเด็กปฐมวัยเป็นช่วงจังหวะทองของการสร้างเสริมพัฒนาการเด็ก เป็นการวางรากฐานของการพัฒนาความเจริญเติบโตทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้านสมองเพราะสมองเติบโตและพัฒนาเร็วที่สุด ดังนั้นการอบรมเลี้ยงดูในช่วงระยะนี้มีผลต่อคุณภาพของคนตลอดชีวิต
ซึ่งในการจัดการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยนั้น หลายประเทศ และนักวิชาการหลายท่านมองว่าการสอนเด็กปฐมวัย "ครูปฐมวัย"จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ในวิชาต่าง ๆ อาทิ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ไทย วิทยาศาสตร์ คัดลายมือ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บางหลายประเทศ กลับมองว่า การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ควรเรียนการสื่อสาร การทักทาย ความรับผิดชอบ การปฎิบัติช่วยเหลือตัวเอง เรื่องศิลปะ การจินตนาการ การเคารพผู้อื่น การอยู่ร่วมในสังคม สิทธิของตัวเองและผู้อื่นแบบง่ายๆ ส่วนเรื่องวิชาการควรเรียนเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เด็กเล็กควรเรียนอะไรบ้าง?
เมื่อเจ้าตัวเล็กต้องเข้าเรียนอนุบาลแน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ปกครองย่อมกังวลใจ เพราะอยากให้ลูกน้อยได้รับประสบการณ์ที่ดี ปรับตัวได้ และเรียนอย่างมีความสุข ดังนั้นการเข้าใจและการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กเรียนอนุบาลได้อย่างสุขและสนุก
โดยทั่วไปเด็กเล็กสามารถเข้าอนุบาลได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบขึ้นไป โดยในวัย 2 – 3 ขวบจะเป็นวัยเตรียมอนุบาล วัย 3 – 5 ขวบเป็นวัยอนุบาล ข้อดีของการเรียนอนุบาลคือเกิดการเรียนรู้มากขึ้น เพราะในช่วงที่อยู่กับครอบครัว
การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ปกครองเพียงวงเดียว แต่การมาโรงเรียนเด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับครูและเพื่อนเพิ่มขึ้น ทำให้ได้รับประสบการณ์การในวงกว้าง รวมทั้งมีการเรียนรู้ที่หลากหลายมากขึ้น มีงานวิจัยระบุว่าเด็กที่สามารถปรับตัวและมีสุขภาพจิตที่ดีในการเข้าเรียนอนุบาลจะประสบความสำเร็จในการเรียนมากกว่าเด็กที่ไม่สามารถปรับตัวในวัยอนุบาลขณะอยู่ที่โรงเรียนได้
การเรียนของเด็กเล็กที่ควรเน้น มีดังนี้
1.เน้นการจัดกิจกรรมแบบบูรณาการเสริมประสบการณ์
เด็กปฐมวัยต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็น ที่แตกต่างไปจากเด็กวัยอื่น ๆ ฉะนั้นการจัดการเรียนของเด็กปฐมวัยจึงเน้นการจัดกิจกรรมแบบบูรณาการเสริมประสบการณ์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ในหลายทักษะ มากกว่าการเรียนแบบรายวิชา
2.เรียนรู้ผ่านการเล่น ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ สอดคล้องกับพัฒนาการ 4 ด้าน
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยแต่ละวันเด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ผ่านการเล่น ผ่านกิจกรรมหลัก ๆ 6 กิจกรรม คือ
- กิจกรรมเสริมประสบการณ์
- กิจกรรมเคลื่อนไหว
- กิจกรรมสร้างสรรค์
- กิจกรรมเสรี
- กิจกรรมกลางแจ้ง
- กิจกรรมเกมการศึกษา
เพื่อส่งเสริมพัฒนาการ 4 ด้านให้กับเด็ก ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา
4 เนื้อหาสาระที่เด็กเล็กควรเรียนรู้
ทุกครั้งครูต้องจัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์ พร้อมทั้งนำผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้องควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก
ทั้งนี้ สำหรับเนื้อหาการเรียนครอบคลุม 4 สาระ โดยที่ต้องไม่ได้เน้นวิชาใดวิชาหนึ่งเหมือนเด็กวัยอื่น แต่เป็นการเรียนแบบคลอบคลุม 4 สาระ ที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเด็กจำเป็นต้องเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวเด็กไปสู่ไกลตัวเด็กนั้นคือ
- สาระเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก
- สาระเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่
- สาระธรรมชาติรอบตัวเด็ก
- สาระสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก
“สิ่งสำคัญในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ การยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ในการจัดประสบการณ์ จะต้องจัดให้สอดคล้องเหมาะสมกับเด็กและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น เพื่อที่เด็กจะได้ฝึกฝนตนเองให้เหมาะกับชุมชนหรือท้องถิ่นรอบ ๆ ตัวเด็ก นอกจากนี้จะต้องจัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาตนเองได้อย่างมีศักยภาพและความสามารถ ครูปฐมวัยจึงมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างมาก”
การลงทุนกับการศึกษาปฐมวัยไม่ใช่การบังคับให้เด็กนั่งเรียนอย่างจริงจัง หน้าติดแบบฝึกหัด มือจับดินสอตลอดเวลา เหมือนกับเด็กประถม เด็กมัธยม เพราะนั่นคือการทำร้ายพัฒนาการด้านต่าง ๆ แต่เป็นการฝึกพัฒนาการพื้นฐานทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เตรียมพร้อมสู่การเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น
รับมือเจ้าตัวเล็กกังวลเมื่อแยกกับพ่อแม่
ส่วนใหญ่เด็กเล็กจะกังวลเมื่อต้องแยกจากพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ หรือที่เรียกว่า ภาวะวิตกกังวลต่อการแยกจาก (Separation Anxiety) ซึ่งถือเป็นพัฒนาการปกติตามวัย เพราะเป็นความกดดันเล็กน้อยที่ทำให้เด็กเติบโต รู้จักจัดการกับความรู้สึกของตนเองมากขึ้น วิธีที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่กังวลมากจนเกินไป ได้แก่
- ทำความรู้จักกับคุณครูก่อนเรียน
เพราะการที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณครูจะช่วยทำให้เด็กลดทอนความรู้สึกกลัวจากการแยกจากลงได้ โดยเด็กจะเรียนรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่มีปฏิสัมพันธ์กับคุณครูอย่างไร รับรู้ถึงสายสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และถ้ามีเพื่อนอยู่ชั้นเดียวกัน เข้าห้องเรียนด้วยกัน จะช่วยลดทอนความกังวลจากการแยกจากลงได้
- ยืดเวลามากขึ้น
อย่างวันแรกที่ไปโรงเรียนอาจให้เด็กเรียนสักครึ่งชั่วโมง วันที่สองให้เด็กเรียนสัก 1 ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลา เพื่อช่วยให้เจ้าตัวเล็กอยู่โดยไม่มีคุณพ่อคุณแม่แล้วรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น โดยค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาไปจนถึงวันที่เจ้าตัวเล็กอยู่ได้โดยไม่กังวลใจตลอดทั้งวัน
- ให้ของแทนใจ
การให้สิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์แทนใจเหมือนเครื่องอบอุ่นใจที่เป็นเพื่อนสนิทแสนรัก (Transitional Object) จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกว่ามีเพื่อนที่เป็นตัวแทนของคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยที่โรงเรียน ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด รู้สึกสบายใจเสมอ อาทิ ผ้าห่ม ตุ๊กตา ของเล่น เป็นต้น
- โปรแกรมและหลักสูตรชัดเจน
การให้เจ้าตัวเล็กเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีโครงสร้างหลักสูตรและตารางกิจกรรมชัดเจนช่วยให้เด็กปรับตัวได้ง่ายและหากเจ้าตัวเล็กมีปัญหาด้านพัฒนาการและพฤติกรรมสามารถเข้าโปรแกรม Hospital Kindergarten Group ที่ดูแลโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้เด็กใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติและดึงศักยภาพที่มีออกมาต่อยอดได้อย่างสมบูรณ์
7 ประโยชน์ของคณิตศาสตร์ที่ทุกคนต้องเรียน
เวลาเรียนหนังสือ หลายครั้งที่มักจะตั้งคำถามว่าเรียนไปทำไม ในชีวิตประจำวันจะได้ใช้จริงๆ หรือ.... ยิ่งการเรียนคณิตศาสตร์ เรียนตรีโกณมิติไปจ่ายตลาดได้หรือ ’’ หลายคนยังคงสงสัยว่า ไม่เห็นต้องเรียนคณิตศาสตร์ให้ยากเลย แค่ บวก ลบ คูณ หารจำนวนก็มีเครื่องคิดเลขใช้แล้ว
ว่ากันว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ บ้าน รถยนต์ ฯลฯ หรือแม้แต่ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราล้วนมี คณิตศาสตร์เข้าไปเกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น การเรียนรู้คณิตศาสตร์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือต้องเรียนเพื่อเอาไปใช้ในชั้นสูงต่อไป ประโยชน์ของคณิตศาสตร์มักจะแฝงอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น จะทำให้เราเป็นคนฝึกคิด เพิ่มทักษะในการใช้สมองซึ่งมีผลต่อการพัฒนาสติปัญญา เราสามารถแจกแจงประโยชน์ของการเรียนคณิตศาสตร์ดังต่อไปนี้
1. ทำให้เรารู้จักการให้เหตุผลอย่างเป็นระบบ ละเอียดและรอบคอบ
2. ทำให้รู้จักการวางแผนในการแก้ปัญหาที่เป็นระบบมากขึ้น มีความพยายามอดทนในการฝ่าฟันโจทย์ปัญหา
3. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ในการนำคณิตศาสตร์ไปประยุกต์กับสาขาวิชาอื่นๆ เพื่อสร้างสิ่งต่างๆ
4. รู้จักการวิธีการในการแก้ปัญหาที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
5. เพิ่มพัฒนาการทางด้านสติปัญญา เพราะคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีพื้นฐานทางด้านการคิด
6. สามารถนำไปต่อยอดเพื่อเป็นความรู้ชั้นสูงต่อไป และเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับวิชาอื่นๆ
7. ทำให้เป็นคนช่างสังเกต ช่างสงสัยรู้จักวิเคราะห์ รู้จักตั้งคำถาม
แม้ประโยชน์ของการเรียนคณิตศาสตร์ไม่ได้มองเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนนักแต่สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้นั้นจะทำให้ผู้เรียนเป็นบุคคลที่มีศักยะภาพโดยไม่รู้ตัว คณิตศาสตร์คือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนของสังคม นวัตกรรม เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดการทดลองที่เป็นรูปธรรม
เข้าใจง่ายๆ คือ คณิตช่วยให้งานวิทยาศาสตร์ทำงานได้ง่ายขึ้น แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ( Albert Einstein : ค.ศ 1879 – 1955 ) เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพอันโด่งดัง ยังใช้คณิตศาสตร์ที่รีมันม์ ( Bernhard Riemann :1826 – 1866 ) คิดไว้เมื่อหลายปีก่อนมาประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพ แสดงให้เห็นว่าเรื่องบางเรื่องอาจจะตอบไม่ได้ว่ามีประโยชน์อะไรในวันนี้ และไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม แต่วันข้างหน้าคนที่นำไปใช้คงจะให้คำตอบได้ดีที่สุด
เหตุผลที่ต้องเรียนวิทยาศาสตร์
ในปัจจุบันนี้เรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่างมากที่สุดเลยสำหรับใครๆเพราะว่าวิทยาศาสตร์นั้นจะทำให้เราเป็นคนที่เก่งแล้วก็ได้รับรู้ข่าวสารรอบตัวที่เราเองก็อาจจะไม่ได้รู้มาก่อนเลยถ้าหากเราไม่ได้เรียนมานั้นเอง เรื่องของวิทยาศาสตร์ในตอนนี้นั้นจัดว่าเป็นเรื่องที่เราเองก็จะต้องให้ความสนใจกันอย่างที่สุดด้วย
การที่เราเรียนวิทยาศาสตร์นั้นก็เพื่อที่จะทำให้เราได้รับรู้ถึงอะไรที่ใหม่ๆมากมายอย่างที่ใครๆก็อาจจะไม่ได้รู้มาก่อน ถ้าหากเราไม่ได้เรียนดังนั้นทุกๆโรงเรียนก็จะมีวิทยาศาสตร์ให้เราได้เรียนเพื่อทำการศึกษาแล้วเราก็จะได้รู้ว่าตัวเรานั้นชอบที่จะเรียนในด้านนี้ไหมเพราะว่าส่วนมากคนที่ชอบวิทยาศาสตร์ในด้านนี้ก็จะเป็นพวกวิศวกรรม พวกแพทย์ด้านต่างๆนั้นเอง
ทุกๆอย่างในตอนนี้เป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยทำให้เรานั้นได้มีความสุขในชีวิตอย่างที่สุด เราเองจึงควรที่จะต้องอย่ามองข้ามในเรื่องของความรู้นี้ด้วย เพื่อที่ว่าการที่เราได้รับความรู้นั้นก็จะเป็นความรู้ติดตัวที่จะช่วยต่อยอดให้เรานั้นได้ศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติมในเรื่องต่างๆที่จะช่วยทำให้เรานั้นได้รับข้อมูลอย่างยิ่งด้วย
สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงเห็นอย่างได้ชัดว่าในทุกโรงเรียนนั้นจะต้องบังคับให้มีวิชาวิทยาศาสตร์ก็เพื่อปลูกฝังให้เด็กๆนั้นได้รับรู้ถึงวิทยาศาสตร์รอบตัวเราว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีความเป็นมาอย่างไร สิ่งนี้จึงจัดว่าเป็นเรื่องที่ดีกับเราเองอย่างที่สุด ทุกๆอย่างนั้นจึงจัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราหรืออีกหลายๆคนนั้นได้รู้จักตัวเองว่าชอบที่จะเรียนแนวนี้หรือไม่อย่างไร
เรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นจึงจัดว่าเป็นเรื่องที่เราเองก็จะต้องไม่ควรที่จะมองข้ามไปเลย เพราะว่ายิ่งเรียนมากเราก็ยิ่งได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว สิ่งนี้จึงจัดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างที่สุดเลย เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์จึงสำคัญสำหรับเด็กในทุกๆวัยที่ได้เรียนนั้นเอง
ด้วยที่ทุกโรงเรียนนั้นจะปลูกฝังให้เด็กเป็นคนที่มีความรู้แล้วก็ได้ค้นหาในตัวเองว่าเราชอบที่จะเรียนในด้านนี้หรือว่าแตกแขนงเรียนในด้านนี้หรือเปล่าเพราะว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่พอสมควรเลย สิ่งต่างๆนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องที่เราเองก็จะต้องค้นหาตัวเองให้รู้ก่อนว่าเรานั้นชอบที่จะเรียนในเรื่องของวิทยาศาสตร์หรือเปล่าเพื่อที่จะได้ไม่ตัดสินใจผิดในภายหลังเพราะว่าส่วนมากคนที่อยากจะเป็นหมอหรือวิศวะเท่านั้นที่จะสามารถเรียนลึกมากขึ้นไปอีกในเรื่องของวิทยาศาสตร์ อันนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเลย
อ้างอิง:โรงพยาบาลกรุงเทพ , worldscinetarchives , schoolflix ,สสวท.