กลเม็ด ‘แฟชั่นไทย’ บุกตลาดโลก อย่าใช้จุดขายผลิตสินค้าต้นทุนต่ำ

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ประเมินจุดแข็งอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย แนะใช้ “ภูมิปัญญา-ความยั่งยืน” บุกตลาดโลก พร้อม เสนอ 3 ข้อ ยกระดับ “หัตถกรรม-SMEs-อุตสาหกรรม”
ผศ. ดร.วุฒิไกร ศิริผล รองคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ฝ่ายวิชาการ เเละอาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า หากต้องการผลักดันอุตสาหกรรมด้านแฟชั่นเป็นซอฟต์พาวเวอร์ตามนโยบายของรัฐบาล ประเทศไทยจะต้องนำเอาเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรมของความเป็นไทยซึ่งถือเป็นจุดแข็งเข้าไปสู้ และไม่ควรแข่งขันด้วยการชูจุดขายเรื่องการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำ เพราะปัจจุบันเทรนด์แฟชั่นของโลกคือความยั่งยืน (Sustainability) และนักวิชาการจากอังกฤษและฟินแลนด์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการตอบโจทย์เทรนด์นี้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพวกงานหัตถกรรมเสื้อผ้าที่เป็นงานคราฟต์ มีการใช้เส้นใยผ้าแบบรีไซเคิล (Recycle) การย้อมสีเสื้อผ้าที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนที่ยังคงเหลืออยู่ในประเทศไทย แต่ค่อยๆ เลือนหายไปแล้วในโซนยุโรป หรือสแกนดิเนเวีย ขณะที่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมโรงงานก็มีกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสวัสดิภาพแรงงาน ไม่มีข่าวละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับโรงงานในบางประเทศ สิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นจุดแข็ง ของวงการอุตสาหกรรมแฟชั่นสิ่งทอของประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
มทร.ล้านนา เล็งปรับหลักสูตรทันสมัย-พัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมใหม่
'RE.UNIQLO' สร้างคุณค่าเสื้อผ้าเก่า ตอบโจทย์ 3 เป้าหมาย SDGs
จุดแข็งบริบทการผลิตแฟชั่นสิ่งทอของประเทศไทย
“ไทยจึงไม่สามารถแข่งกับโลกด้วยจุดขายเรื่องการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำอีกแล้ว จึงต้องนำเอาเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา ศิลปะวัฒนธรรมของความเป็นไทยไปสู้ แล้วนำมาปรุงให้มีความเป็นโมเดิร์นร่วมสมัย เหมือนแฟชั่นฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ฯลฯ เปรียบเสมือนอาหารไทยที่นำไปปรุงให้ฝรั่งกินได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยมีจุดขายเรื่องดีไซน์ การออกแบบ ที่จะนำไปผลิตเป็นสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง ต้นทุนของเรามันมาในเรื่องสร้างสรรค์ เป็นต้นทุนที่คนอื่นไม่มี” ผศ. ดร.วุฒิไกร กล่าว
รองคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ฝ่ายวิชาการ ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า บริบทการผลิตแฟชั่นสิ่งทอของประเทศไทยมีจุดแข็ง 3 ประเภท คือ 1. ประเภทหัตถกรรม 2. ผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง (SMEs) และ3. ประเภทอุตสาหกรรมโรงงาน จึงมีข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาต่อทั้ง 3 ประเภทในรูปแบบที่แตกต่างกัน
สำหรับประเภทหัตถกรรม หากจะส่งเสริมงานคราฟต์ให้ไปสู่ตลาดโลก รัฐบาลควรมองหากลุ่มตลาดในประเทศต่างๆ และศึกษาความต้องการเฉพาะว่าต้องการการดีไซน์ ประเภทเนื้อผ้า ฯลฯ แบบใด โดยรูปแบบการดีไซน์ของผ้าไทยในทุกวันนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มประเทศในตะวันตกจะให้ความนิยมมากนัก จึงต้องมีการเรียนรู้ ศึกษา เพื่อปรับรสชาติให้ถูกปากฝรั่งมากยิ่งขึ้น หากผลักดันเรื่องนี้ได้สำเร็จจะก่อให้เกิดการค้าที่กระจายรายได้ไปสู่ประชาชนในทุกภูมิภาค เพราะงานประเภทหัตถกรรมมีต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงนัก จึงทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการเป็นเจ้าของกิจการได้
เน้นสินค้าคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์แฟชั่น
สำหรับกลุ่ม SMEs ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เน้นขายดีไซน์ มีจุดเด่นด้านสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม เน้นสินค้าคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์แฟชั่น รัฐบาลควรส่งเสริมให้กลุ่มนี้เข้าถึงตลาดและการลงทุนได้มากขึ้น เพราะมีสินค้าที่อยู่ในช่วงกลาง-สูง สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี และมีโอกาสในการเติบโตมาก แต่ยังมีขนาดเล็ก และยังไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าใดนัก
ขณะที่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม สิ่งที่รัฐบาลควรสนับสนุน คือการส่งเสริมเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่จะทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนก็ต่ำลง ต่อมาคือการส่งเสริมเรื่ององค์ความรู้ในการออกแบบ ดีไซน์ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้า เพราะมีผู้ประกอบการโรงงานไทยจำนวนน้อยมากในตอนนี้ที่จะจ้างดีไซน์เนอร์ออกแบบเสื้อผ้าเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้คือการส่งเสริมเรื่องการนำเข้า-ส่งออก ที่ทำให้เกิดข้อได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการลดต้นทุน การลดหย่อนภาษี หรืออื่นๆ ฯลฯ
ผศ. ดร.วุฒิไกร กล่าวต่อไปอีกว่า การส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นสิ่งทอ ต้องส่งเสริมอย่างเป็นองค์รวม ครบวงจรตลอดทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพราะอุตสาหกรรมนี้มีสายพานของกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างยาว เริ่มตั้งแต่การผลิตเส้นใย อาทิเช่น เราสามารถผลิตเส้นใยในประเทศได้แค่ไหน เพราะทุกวันนี้เรากำลังประสบปัญหาจากการผลิตเส้นไหม ไม่เพียงพอกับใช้งานภายในประเทศ และซ้ำเติมด้วยผลกระทบจากโลกร้อนทำให้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมยากขึ้น
รวมไปถึงการที่เรามีโรงงานที่นำเส้นใยมาพัฒนาเป็นเส้นด้าย ภาครัฐได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตได้อย่างมีคุณภาพที่สูงขึ้นได้หรือไม่ เรื่องการตัดเย็บหรือแปรรูปจากผ้าให้กลายเป็นเสื้อผ้าให้มูลค่าเพิ่มอย่างไร ภาครัฐต้องไปส่งเสริมเรื่องเทคโนโลยี เรื่องการดีไซน์ เรื่องการลงทุน เรื่องการตลาด ฯลฯ ให้ครบวงจร
“ส่วนตัวมองว่า ตอนนี้ภาพรวมการส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นอาจจะยังแทรกซึมไปลงไม่ถึงทั้งกระบวนการ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในระดับที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจจะเห็นเป็นเพียงภาพของการส่งเสริมเป็นส่วนย่อย เช่น กรณีข่าว นาโอมิ นางแบบระดับโลก ที่จะช่วยยกระดับนางแบบไทยสู่เวทีโลก ที่มองมุมหนึ่งก็เป็นความพยายามส่งเสริมแฟชั่น แต่ในอีกมุม ก็ยังมีคนอีกหลายหมื่นคนในอุตสาหกรรมนี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร” ผศ. ดร.วุฒิไกร ระบุ