แรงงานไรเดอร์ส่งอาหาร คุณค่าและการควบคุม

แรงงานไรเดอร์ส่งอาหาร คุณค่าและการควบคุม

อาชีพไรเดอร์หรือคนขับรถมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารเป็นอาชีพที่ค่อนข้างใหม่ในสังคมไทย  อาชีพนี้ขยายตัวอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19

เนื่องจากการประกาศห้ามการนั่งรับประทานอาหารในร้าน  อาชีพไรเดอร์จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการรับประทานอาหารที่ตนชื่นชอบโดยไม่ต้องออกจากบ้านไปนั่งรับประทานที่ร้าน 

แม้กระทั่งเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายไปแล้ว  แต่ผู้บริโภคก็ยังคงนิยมใช้บริการไรเดอร์อยู่เพราะความสะดวกและค่าบริการที่ไม่สูงจนเกินไป

ท่ามกลางการขยายตัวอย่างมากของอาชีพไรเดอร์ ก็พบว่ามีข่าวสารอยู่เนือง ๆ ว่าไรเดอร์ประสบอุบัติเหตุขณะกำลังขับรถไปรับอาหารหรือไปส่งอาหาร  ไรเดอร์ถูกผู้บริโภคปฏิเสธการรับอาหาร (โดยไม่มีเหตุผลและไม่ได้เป็นความผิดของไรเดอร์) 

กรณีที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไรเดอร์จะต้องเป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเองทั้งในเรื่องของการรักษาพยาบาลและในเรื่องของค่าอาหารที่ลูกค้าปฏิเสธการรับ 

จึงนำไปสู่คำถามสำคัญที่ว่าอาชีพไรเดอร์นั้นมีสถานะความเป็นลูกจ้างหรือไม่  เพราะหากไรเดอร์เป็นลูกจ้าง  ผู้เป็นนายจ้างก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้

นอกจากประเด็นเรื่องการเป็นลูกจ้างดังได้กล่าวมาแล้ว  ในช่วงหลายเดือนมานี้กระแสการเรียกร้องต่อรองขอเพิ่มค่าตอบแทนจากการทำงานของกลุ่มคนที่ทำอาชีพไรเดอร์ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 

มีการรวมกลุ่ม  มีการยื่นข้อเรียกร้อง  รวมถึงมีการนัดหยุดรับงานเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง  แม้แต่ในภาควิชาการเองก็มีการเคลื่อนไหวสนับสนุนการเรียกร้องนี้ด้วยการช่วยเหลือทางด้านข้อมูลต่าง ๆ  

แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนทั้งหมดนี้จะยังไม่ได้ผลตอบรับตามที่คาดหวังเท่าใดนัก  ซึ่งอาจหาคำตอบได้แบบสำเร็จรูปในทางเศรษฐศาสตร์ได้ว่ายังมีคนว่างงานอีกมากมายที่พร้อมจะเข้ามาสู่ตลาดแรงงานเป็นไรเดอร์ รวมถึงในอนาคตผู้ประกอบการอาจใช้เทคโนโลยีแบบประหยัดแรงงานเข้ามาทำงานแทนได้ด้วย  

แรงงานไรเดอร์ส่งอาหาร คุณค่าและการควบคุม

ผู้ประกอบการจึงไม่ค่อยให้ความสนใจกับข้อเรียกร้องของไรเดอร์มากนัก  ถึงแม้ว่าคำตอบสำเร็จรูปทางเศรษฐศาสตร์นี้ก็คงไม่ใช่คำตอบที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่ 

แต่ก็มีข้อน่าสังเกตว่าคำตอบที่วางอยู่บนแบบเศรษฐศาสตร์เช่นนี้มองไม่เห็นถึงคุณค่าของคนทำงานและคุณค่าของการทำงาน

การคิดแบบเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวสามารถสะท้อนผ่านเรื่องบอกเล่าจากเฟซบุ๊คเพจ The Invisible Economist ที่มีผู้ติดตามอยู่จำนวนหนึ่ง แอดมินของเพจนั้นเล่าว่า

“วันก่อนผมเห็นข่าวไรเดอร์ไปประท้วงบริษัทครับ วันนี้จึงจะมาเล่าเรื่องสตาร์ทอัพชื่อ Nuro ที่สหรัฐอเมริกาครับ เป็นบริษัทเทคโนโลยีรถวิ่งอัตโนมัติบนท้องถนนเพื่อการส่งสินค้า  พูดง่ายๆคือไม่ต้องจ้างคนขับรถส่งของอีกต่อไป  ให้รถวิ่งไปมาเองเลยจะประหยัดค่าจ้างมากกว่า”

มีแฟนเพจของแอดมินท่านนี้หลากคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น  ซึ่งส่วนใหญ่สรุปได้คล้าย ๆ กันว่าเทคโนโลยีดังกล่าวอาจจะยังไม่เหมาะสมกับสังคมไทยเพราะมีเรื่องของขั้นตอนทางกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบกและพ.ร.บ.ขนส่งทางบก เป็นต้น 

แรงงานไรเดอร์ส่งอาหาร คุณค่าและการควบคุม

ที่สำคัญคือประเทศไทยนั้นมีความไม่ปลอดภัยสูง  รถอัตโนมัติขนส่งอาหารอาจถูกปล้นทั้งอาหารและทั้งตัวรถระหว่างการเดินทางไปส่งสินค้าก็เป็นได้  

การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ถือเป็นบรรยากาศที่ดีที่แฟนเพจจะคิดต่างจากแอดมิน  แต่การคิดต่างนั้นก็ยังตกอยู่ในกรอบของเศรษฐศาสตร์ที่มองไม่เห็นคุณค่าของการทำงานและคุณค่าของคนทำงาน

อันนี้ที่จริงแล้วการใช้เครื่องจักรเพื่อทดแทนไรเดอร์อย่างสมบูรณ์แบบเป็นปลายทาง ก่อนจะถึงขั้นตอนนั้น อัลกอริธึมจำเป็นต้องบันทึกกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของไรเดอร์เพื่อประมวลเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (quantify) สำหรับการ operate จักรกล 

ข้อมูลต่างๆ อยู่บนแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางป้อนคำสั่งแก่ไรเดอร์ โดยระบุประเภทสินค้าและสถานที่ ระบบ GPS คอยทำหน้าที่ติดตามการผลิต เวลาและการเคลื่อนที่ของไรเดอร์

ทั้งนี้ก็เพื่อให้แพลตฟอร์มสามารถควบคุมคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่กล่าวมาเป็นกระบวนการอย่างย่อๆ เพื่อพัฒนาเครื่องจักรให้สามารถนำส่งสินค้าแทนมนุษย์ได้

หากมองเช่นนี้ การใช้พลังแรงงานไรเดอร์เองก็เหมือนอยู่ในการ “ควบคุม” ของจักรกลอยู่ในที ซึ่งปัญหาก็คือ หลายครั้งแรงงานเองก็ไม่ได้รู้สึกถึงการถูกควบคุม

มีงานวิจัยในต่างประเทศชี้ว่ามีไรเดอร์บางคนที่รู้สึกเป็นอิสระภายใต้การทำงาน (โดยให้เหตุผลว่า การขี่รถไปที่ต่างๆก็เหมือนได้สำรวจที่ทางใหม่ๆไปด้วย) ซึ่งตรงนี้อาจแตกต่างจากกรณีของไทยที่ไรเดอร์ต้องขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดกว่า และเกิดจิตสำนึกร่วมในการเรียกร้องเพื่อสิทธิต่างๆ

แรงงานไรเดอร์ส่งอาหาร คุณค่าและการควบคุม

แต่ปัญหาอีกระดับคือ ในเชิงสังคมไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่ไรเดอร์เหล่านี้ต้องทำงานภายใต้ “การบัญชา” ของจักรกล (machinic subordination) 

ท่วงท่าและการใช้แรงงานของพวกเขาได้ถูกลดทอนให้กลายเป็นเครื่องมือเพื่อพัฒนาจักรกล ซึ่งจริงๆ แล้วงานของไรเดอร์ย่อมมีคุณค่ามากกว่านั้น

วิธีคิดของเพจที่กล่าวถึงจึงบอกแค่เพียงว่า นายจ้างจะทำการจ้างคนงานก็ต่อเมื่อนายจ้างพิจารณาแล้วเห็นว่าการจ้างคนงานเป็นวิธีการที่ “คุ้มค่า” ต่อการสร้างผลกำไรของตนเอง นั่นก็คือนายจ้างคิดว่าหากการจ้างคนงานจะทำให้ตนเองได้กำไรลดน้อยลง 

นายจ้างที่มี “เหตุผล” ก็จะไม่ทำเช่นนั้น  แต่ไม่ได้บอกถึง “คุณค่า” ของงานของไรเดอร์ งานที่พวกเขาทำย่อมมีคุณค่าแก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานที่เขาทำ 

การทำงานไม่เพียงแต่จะเป็นที่มาของการสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตนเองแต่อาจรวมถึงครอบครัว  แต่ก็สามารถเป็นความภาคภูมิใจให้กับคนทำงานว่าตนเองได้ทำสิ่งดี ๆ ที่มีคุณค่าให้เกิดขึ้นกับสังคม 

คำพูดทักทายว่าสวัสดีครับ ทานอาหารให้อร่อยนะครับพร้อมรอยยิ้มจากไรเดอร์น่าจะมีส่วนช่วยทำให้ผู้บริโภคมีความสุขกับการรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น  คำพูดขอบคุณพร้อมรอยยิ้มจากผู้บริโภคก็น่าจะทำให้ไรเดอร์มีความสุขกับการส่งอาหารเที่ยวนี้มากขึ้นแม้จะได้ค่าส่งเท่าเดิม

แรงงานไรเดอร์ส่งอาหาร คุณค่าและการควบคุม

ข้อเสนอที่ว่าหากไรเดอร์เรียกร้องมากนักผู้ประกอบการก็จะนำเอาหุ่นยนต์อัตโนมัติมาทำงานแทนจึงเป็นข้อเสนอที่สะท้อนวิธีคิดที่มองกำไรนำ (ซึ่งจริงๆเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าเป็นกระแสหลักก็ไม่ใช่ศาสตร์ที่ต้องการแสวงหากำไรเป็นที่ตั้งนะครับ)

การสร้างสรรค์เทคโนโลยีใด ๆ ขึ้นในทัศนะแบบเศรษฐศาสตร์ก็จึงไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าการหาวิธีสร้างผลกำไรให้มากขึ้น  โดยไม่ได้ให้ความสนใจเลยว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นจะไปลดทอนคุณค่าอะไรของใครหรือไม่  ดังที่อาจารย์สุภา ศิริมานนท์ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว

"ในพัฒนาการของระบบแคปิตะลิสม์นั้น สมรรถวิสัยในการผลิตได้มีการขยายตัวออกและขยายตัวออกกว้างขวางอยู่โดยไม่ยับยั้ง แต่การณ์กลับปรากฏว่า สิ่งที่คนงานและมหาชนส่วนใหญ่ได้รับเพื่อการดำรงชีพ ได้มีปริมาณน้อยลงและน้อยลงอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่ได้ส่วนสัมพันธ์กันเลย กับอำนาจการผลิตที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและยิ่งใหญ่ขึ้น"

คอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน

- ผศ.ตะวัน วรรณรัตน์

ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์

มหาวิทยาลัยศิลปากร

- ผศ.ดร.นรชิต จิรสัทธรรม

คณะเศรษฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยขอนแก่น