ยืดเกษียณ60เพิ่มยอดสมทบกองทุน ดึง 'สูงวัย'กลับสู่ตลาดแรงงาน

ท่ามกลางความท้าทายจากสังคมสูงวัยและวิกฤตประชากรที่กำลังเผชิญทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุ เปลี่ยนสถานะจากการเป็นภาระให้สามารถอยู่ในสังคมได้ด้วยศักยภาพของเขาเอง
KEY
POINTS
- ต้องเร่งทำให้ผู้สูงอายุมีงานทำ สามารถดูแลตัวเองได้เร็วที่สุด โดยภาครัฐจะร่วมมือกับภาคเอกชนในการสร้างแรงจูงใจให้มีการจ้างงานผู้สูงอายุมากขึ้น และพัฒนาระบบการอั
ท่ามกลางความท้าทายจากสังคมสูงวัยและวิกฤตประชากรที่กำลังเผชิญทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุ เปลี่ยนสถานะจากการเป็นภาระให้สามารถอยู่ในสังคมได้ด้วยศักยภาพของเขาเอง ให้เขากลายมาเป็นหนึ่งในคนที่สามารถขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่อัตราการเกิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ปี 2567 เป็นปีแรกในรอบ 75 ปีที่เด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 500,000 คน ฉะนั้นจากนี้ไป กำลังแรงงานของประเทศไทยจะน้อยลงเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงนิยามของ “ผู้สูงอายุ” และการปรับอายุเกษียณออกเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่หลายฝ่ายกำลังพยายามผลักดันให้เป็นจริง แต่ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งในประเทศอิตาลีเพิ่งเปลี่ยนนิยามผู้สูงอายุจาก 65 ปี เป็น 67 ปี เนื่องจากคนมีอายุยืนยาวขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้น
ทว่า การจะปรับนิยามของคำว่า"ผู้สูงอายุ"ในประเทศไทย จาก 60 ปี เป็น 65 ปี อาจจะทำให้คนที่จะอายุ 60 ปีในอนาคตอันใกล้ กำลังจะได้เบี้ยยังชีพเดือนละ 600 บาท แต่ต้องรออีก 5 ปี’ ฉะนั้นการปรับนิยามผู้สูงอายุคงต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน อาจจะบอกต้องค่อยๆทำความเข้าใจกับสังคม อาจจะทำได้ภายในอีก 5 ปีหรือช่วงเวลาหนึ่งที่จะค่อยๆ ปรับขึ้นไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สัญญาณปี 68 ผู้ป่วยโรคติดเชื้อพุ่ง สูงวัย เด็ก สตรีมีครรภ์ เสริมภูมิคุ้มกัน
จัดระบบดึงผู้สูงอายุ กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน
สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปพร้อมกันคือรัฐบาลต้องเตรียมงานสำหรับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม และผลกระทบต่อเส้นทางอาชีพ เมื่ออายุครบ 60 ปีแล้ว หากมีการจ้างงานต่อ จะเป็นรูปแบบในสถานะใด เป็นที่ปรึกษา อยู่ในสายบริหารหรืออย่างไร แม้จะเป็นความท้าทาย แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเตรียมการรองรับ หากจะมีการยืดอายุเกษียณ และต้องมีระบบดึงผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ด้วยศักยภาพของเขาเอง เป็นหนึ่งในคนที่สามารถขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจได้
"วราวุธ ศิลปอาชา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่าการดึงคนกลุ่มนี้ที่อายุ 60-70 ปี ที่ยังมีทั้งสมองและแรงกาย กลับเข้ามาอยู่ในกำลังแรงงานเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องหารูปแบบในการดำเนินการต่อไป เพราะคนกลุ่มนี้สามารถสร้างผลิตภาพและรายได้จากการทำงานได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าพวกเขายังแอคทีฟอยู่ จะไม่เป็นภาระระบบสาธารณสุข ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่เป็นอัลไซเมอร์เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ทั้งผลิตภาพและการป้องกันทางการแพทย์
เพราะการจัดสรรงบประมาณ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ”จะเพิ่มขึ้นทุกปีจากจำนวนที่ผู้สูงอายุจเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีผู้สูงอายุ 13.5 ล้านคน ได้รับเบี้ยยังชีพประมาณ 10 ล้านคน โดยจ่ายแบบขั้นบันได คือ อายุ 60-69 ปีได้ 600 บาท, 70-79 ปีได้ 700 บาท, 80-89 ปีได้ 800 บาท และ 90 ปีขึ้นไปได้ 1,000 บาท ปีงบประมาณ 2568 ใช้งบประมาณเกือบ 100,000 ล้านบาท
คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 160,000 ล้านบาท และมีข้อเรียกร้องให้จ่ายเบี้ยยังชีพแบบถ้วนหน้า 1,000 บาทต่อเดือน “ถ้าจ่าย 1,000 บาทถ้วนหน้า จะใช้งบประมาณ 120,000 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นทุกปีเพราะจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
ขยายอายุเกษียณยืดอายุกองทุน
"เราจ่ายเงินผู้สูงอายุเราจ่ายมาหลายปี ปรับขึ้นมาเรื่อย ถ้าเปรียบเสมือนเราเป็นนักธุรกิจ เราลงทุนไปแล้วเราต้องสามารถวัดให้ได้ว่าเงินที่เราให้ไปเกิดประโยชน์กับคุณภาพชีวิตของคนที่เราให้จริงหรือไม่ เราต้องเร่งทำให้ผู้สูงอายุมีงานทำ สามารถดูแลตัวเองได้ เร็วที่สุด โดยจะร่วมมือกับภาคเอกชนในการสร้างแรงจูงใจให้มีการจ้างงานผู้สูงอายุมากขึ้น และพัฒนาระบบการอัพสกิลและรีสกิลให้กับผู้สูงอายุ โดยอาจพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม เช่น การให้คูปองการศึกษา หรือการจัดหลักสูตรเฉพาะทางอาจจะดูเป็นรูปแบบสมัครใจ เน้นผู้สูงอายุที่มีความพร้อมและมีความสามารถหลากหลายด้านก่อน”วราวุธกล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า "การขยายอายุของผู้ทำงานจาก 55 ปี เป็น 60 ปี เป็นการยืดอายุกองทุนประกันสังคมออกไป มีคนทำงานมากขึ้น แรงงานจ่ายภาษีสร้างรายได้ให้ทั้งรัฐบาล และยังส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมต่อไปอีกได้ด้วย ”พิพัฒน์ รัชกิจประการ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตอบกระทู้ สว.เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ ว่ากองทุนประกันสังคม จะมีการขยายอายุของผู้ทำงานจาก 55 ปี เป็น 60 ปี คาดว่าการเกษียณอายุ 60 ปี จะประกาศใช้ในปีนี้ ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์ คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมีนาคม
“หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก 2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ ซึ่งคนไทยมีอายุเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80 ปี” พิพัฒน์ กล่าวว่า
สิทธิที่แตกต่าง3กองทุน
ขณะเดียวกันอายุเฉลี่ยของผู้สูงอายุก็ยืนยาวไปด้วยเช่นกัน ต้องมีวิธีการบริหารจัดการสิทธิการรักษาของ 3 กองทุนที่มีความแตกต่างไปพร้อมกันด้วย โดยสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการถือว่าดีสุด ส่วนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง มีชุดสิทธิประโยชน์โดยมีเครือข่ายตั้งแต่ปฐมภูมิ โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลศูนย์ทั่วไป
ส่วนประกันสังคม (ผู้ประกันตน) สามารถใช้สิทธิกับโรงพยาบาลที่เลือกสิทธิไว้ เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่มีวงเงิน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ครอบคลุมการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ตรวจวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็น
สิทธิข้าราชการเบิกจ่ายพุ่ง
ทว่าในส่วนของการเบิกจ่าย กรมบัญชีกลาง พบว่างบประมาณค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการมีการเบิกจ่ายปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งนับวันจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคนอายุยืนขึ้น มีโรคเกิดใหม่มากขึ้น และยาที่ใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ก็แพงขึ้น
กำลังคนภาครัฐ ปี 2566 มีจำนวน 3 ล้านคน ข้าราชการ 1.785 ล้านคน และประเภทอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการ 1.24 ล้านคน พบว่าใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยนอก เดือน ธ.ค. 2567 มีจำนวนผู้ใช้สิทธิ 1,463,093 คน คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล 6,968 ล้านบาท เดือน พ.ย. 2567 ผู้ใช้สิทธิ 1,535,263 คน เบิกจ่าย 7,551 ล้านบาท, ต.ค. 2567 ผู้ใช้สิทธิ 1,586,282 คนเบิกจ่าย 7,675 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบงบค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี จากจำนวนเงิน 16,994.30 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 74,818 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2562 และพุ่งขึ้นมาแตะระดับแสนล้านต่อปีในเวลานี้ทั้งที่จำนวนข้าราชการลดจำนวนลง
ขณะที่งานวิจัยเรื่อง“การประเมินทางคณิตศาสตร์ (Actuarial Valuation)ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของข้าราชการและผู้อาศัยสิทธิในอีก 30 ปีข้างหน้า” วิทยานิพนธ์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดย มัณฑนา จาดสอน พบว่า ในปีงบประมาณ 2588 ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน กลุ่มสิทธิสวัสดิการข้าราชการ อาจสูงถึง 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14.5 เท่าจากปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 6.8 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญมาจากอัตราเงินเฟ้อ อายุ รวมถึงจำนวนข้าราชการและผู้ที่สิทธิครอบคลุม อาทิ บิดามารดา คู่สมรส
ในส่วนของบัตรทองก็เช่นกัน งบประมาณงบบัตรทอง คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 217,628 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ ปี 2569 ครม.อนุมัติงบบัตรทอง วงเงิน 2.75 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ถึง 15%
รวม3กองทุน20 ปียังไม่สำเร็จ
สิทธิการรักษาของแต่ละกองทุนที่เหลื่อมล้ำบวกกับเม็ดเงินงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี จึงมีการเสนอให้มีการรวม 3 กองทุนเข้าด้วย ล่าสุดนายกรัฐมนตรี ลงนามในหนังสือคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่33/2568 เรื่อง “แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย” ลงวันที่27 ม.ค. 2568
โดยมี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานกรรมการ เพื่อให้การพิจารณานโยบายและแนวทางการบริหารงบประมาณสำหรับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริบทสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสิทธิการรักษาพยาบาล
ปรับสิทธิรักษาเริ่มที่“คนรุ่นใหม่”
เมื่อวันที่ 12 มี.ค.คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย ที่มี “พิชัย ชุณหวชิร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมนัดแรกโดยมีการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล 4 ระบบ คือ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยจะมีแต่ละหน่วยงานบริหารและนำเสนอข้อมูล เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และแนวทางปรับปรุงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
"นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะเลขานุการร่วมคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย เปิดเผยว่าที่ประชุมให้มีการพิจารณาหาแนวทางบริหารงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดที่ประชุมเสนอ 8 มาตรการที่จะใช้เป็นกรอบการทำงาน
โดยมีอนุกรรมการ 2 ชุดมาขับเคลื่อน ประกอบด้วย 1. อนุกรรมการฝ่ายวิชาการ มีดร.นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร เป็นประธาน และ 2.อนุกรรมการชุดขับเคลื่อน ซึ่งมีหน่วยบริการต่างๆ ที่มี ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานกรอบดำเนินการให้ความสำคัญ 2 มาตรการแรก คือภาพรวมการใช้งบประมาณแต่ละปี การนำเข้ายา โดยปี 2567 มียานำเข้าประมาณ
2 แสนล้านบาท รัฐบาลใช้งบประมาณไป 3.4-3.6 แสนล้านบาทไปกับ 4 ระบบบริการสุขภาพ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10 % ของงบประมาณทั้งหมดเติบโต 11 % ต่อปี มากกว่าค่า GDP ประเทศประมาณ 2 - 2.5% อาจจะมีการพัฒนาระบบยา เช่น การใช้ยาชื่อสามัญแทนชื่อการค้า เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงรวมทั้งการผลิตยาในประเทศ และการรวมกลไกหลายระบบเพื่อประโยชน์การเจรจาต่อรอง
“อาจต้องมีการพิจารณาในเรื่องการใช้งบประมาณด้านการรักษาพยาบาล โดยอนาคตมีการมองทิศทางใหม่ เช่น สิทธิสวัสดิการเกิดขึ้นใหม่ อาจต้องมองคนที่เข้ามาใหม่ ส่วนคนที่อยู่เดิมอาจต้องมาดูว่า ปรับอะไรได้บ้างผู้มีสิทธิวันนี้ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ แต่ในอนาคตจะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นส่วนรายใหม่นั้นเป็นเฟสต่อไปว่า อนาคตจะวางรูปแบบอย่างไร เช่น ข้าราชการรุ่นต่อไป ประชาชนรุ่นต่อไปแต่ตอนนี้มาดูก่อนว่าจะมีอะไรปรับปรุงเพิ่มเติมได้หรือไม่”
สธ.สรุป“ต้นทุนค่ารักษารายโรค”
“กิตติกร โล่ห์สุนทร” ประธานคณะกรรมการศึกษาต้นทุนค่ารักษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)กล่าวว่ากองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) ขอเวลา 2 สัปดาห์ในการรวบรวมข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงของค่ารักษาพยาบาล หากทำข้อมูลต้นทุนเสร็จแล้วก็จะมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้ทราบต้นทุนที่แท้จริงของค่ารักษาพยาบาล และจะจัดสรรงบประมาณแต่ละกองทุนให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยพยายามให้เร็วที่สุด เพราะข้อมูลมีจำนวนมาก ซึ่งจะลงลึกถึงรายโรค และต้องพิจารณาว่าจะต้องแปลงตามค่าคำนวณของสปสช.ที่เรียกว่า พอยท์ ด้วยหรือไม่ ซึ่งก็ต้องมาศึกษาว่าจะทำอย่างไรให้เข้าใจง่ายด้วย เพราะที่ผ่านมาค่าพอยท์ แต่ละแห่งก็ไม่เท่ากัน ทั้ง สปสช. รพ.ในสังกัดสธ.และรพ.ในรร.แพทย์