เปิดข้อเสนอแพทยสภา แพทยสมาคมฯ 15 ราชวิทยาลัยต่อนโยบายกัญชา
เปิดข้อเสนอแพทยภสภา แพทยสมาคมฯ 15 ราชวิทยาลัยต่อนโยบายกัญชา ขอให้ใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกวิธี คัดค้านการใช้เพื่อนันทนาการ ประธานราชวิทยาลัยกุมารฯระบุควรกลับไปเป็นยาเสพติด กฎหมายสธ.ใช้ควบคุมแต่ไร้บทลงโทษ
ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ โลห่เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบมจากกัญชา ไม่ว่าจะเป็นในอาหารหรือในผลิตภัณฑ์ พ่อแม่มีความรู้เท่าทันมากขึ้น ไม่ให้ลูกทานอาหาร หรือ ขนมที่มีส่วนผสมของกัญชา เพราะอาจเกิดผลกระทบได้ในระยะยาว ทั้งนี้ ในทางการแพทย์ ราชวิทยาลัยต่างๆ เรียกร้อง คือ ต้องการให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด และสนับสนุนในทางการแพทย์ ไม่ใช่เสรีแบบนี้ เพราะประโยชน์ทางการแพทย์ที่ได้จากการใช้กัญชารักษาโรคมีแต่ก็น้อย โรคบางโรคแม้ใช้กัญชารักษาก็ไม่หายขาดแค่ทุเลา
“ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข อ้างว่ามีประกาศกระทรวงครอบคลุม แต่อย่าลืม เป็นเพียงแต่ การให้คำแนะนำว่าควรใช้เท่าไหร่ อย่างไร แต่ไม่มีบทลงโทษ ทำให้เกิดการควบคุมการใช้กัญชาไม่ได้”ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2565 แพทยสภา ,แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และ 15 ราชวิทยาลัย ประกอบด้วย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ ,ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ,ราชวิทยาลัยจักษุฯ ,ราชวิทยาลัยจิตแพทย์ฯ ,ราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกฯ .ราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ ฯ,ราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์ฯ ,ราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ฟื้นฟู ฯ,ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ฯ,ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ฯ ,ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์ ฯ,ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ, ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์ฯ และราชวิทยาลัยแพทย์ฉุกเฉินฯ ออกแถลงการณ์เรื่อง “ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายกัญชาของประเทศไทย” ระบุว่า
กัญชามีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมากมาย โดยเฉพาะ สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ซึ่งมีฤทธิ์เสพติดและมีมากในช่อดอก สารนี้ทำให้ เคลิบเคลื้ม เกิดการเสพติตและอยากเสพเพิ่มขึ้นได้ ทำให้ผู้เสพติดไม่สามารถควบคุมตนเองได้ การเสพติดกัญชาเป็นโรคที่ถูกระบุอยู่ในระบบการวินิจฉัยโรคสากลและต้องได้ รับการรักษา กัญชาเป้นอันตรายต่อสุขภาพในระยะสั้นได้ (เช่นทำให้เกิดอุบัติเหตุ หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการโรคจิต) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพทรุดโทรมในระยะยาว(เช่น เชาวน์ปัญญาเสื่อม โรคจิตเภท โรคหัวใจและหลอดเลือด) ปัญหาสุขภาพเหล่านี้พบบ่อยและรุนแรงมากขึ้นในเด็กและวัยรุ่น สตรีตั้งครรภ์ และสตรีให้นมบุตร
จากเหตุผลดังกล่าว ทั่วโลกจึงกำหนดกัญชา พืชกัญชาและวัดถุหรือสารต่าง ๆ จากกัญชาที่มี THC สูงหรือไม่ทราบปริมาณที่แน่ชัด เป็นยาเสพติดให้โทษและเป็นสาระสำคัญของข้อเสนอนี้
กัญชาทางการแพทย์นำมาใช้ได้เมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนอง ต่อยาแลวิธีการรักษาตามมาตรฐาน ปัจจุบันแพทย์ใช้ กัญชาบรรเทาอาการได้ไม่เกิน 6 ภาวะและเป็นการบรรเทาอาการเท่านั้ น การใช้ในกรณีอื่นให้ทำในรูปแบบงานศึกษาวิจัย กฎหมายของประเทศไทยได้กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 มานานจนถึงวันที่ 9มิถุนายน พ. ศ . 2565 แต่ ประกาศ ของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ลง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 (ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565) ทำให้ทุกส่วนของกัญชาไม่เป็น ยาเสพติดให้โทษอีกต่อไป ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถ ปลูกและเสพกัญชาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียมากมายต่อสุขภาพ ครอบครัวและสังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประเทศไทยขณะนี้มีแนวคิดหลากหลายในการบริหารจัดการกัญชา พิชกัญชา และวัดถุหรือสารต่าง ๆจากกัญชา
แต่แนวคิด 2 ข้อที่กำลังก่อปัญหาในปัจจุบันและผลเสียต่อไปในอนาคต คือ 1. กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดให้โทษ : ในทางการแพทย์และกฎหมายสากล กัญชาคือยาเสพติดให้โทษ จึงต้องมีกฎ หมายควบคุมเพื่อไม่ให้ใช้ในทางที่ผิด การกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษตามทางการแพทย์และกฎหมายสากล จะทำให้หน่วยงานรัฐนำกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับยาเสพติดมาควบคุมการใช้กัญชาในทางที่ผิดได้ การมุ่งให้ความรู้โดยไม่มีกฎหมายควบคุม ไม่สามารถจัดการปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นว่า หลังวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ มากมายต้องออกกฎ ระเบียบของตนเพื่อปกป้องคนในองค์กรหรือหน่วยงานจากกัญชาแทนกฎหมายจากรัฐบาล
2. การให้ประชาชนปลูกและใช้กัญชารักษาโรคเอง: แนวคิดนี้ขัดแย้งกับกัญชาทางการแพทย์และการควบคุมการใช้กัญชาในทางที่ผิด เนื่องจาก
- กัญชาที่ประชาชนทั่วไปปลูกเป็นกัญชาที่ไม่มีคุณภาพและปนเปื้อนง่าย : กัญชาเป็นพิชที่ดูดซับสารพิษและโลหะหนักได้มาก การปลูกแบบมีคุณภาพทำได้ยากทำให้สารสำคัญเช่น THC,CBD ในผลผลิตมีปริมาณที่ไม่แน่นอน
- ประชาชนไม่มีความรู้ด้านกัญชาทางการแพทย์มากพอ :ในขณะที่กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษที่อันตราย กัญชาทางการแพทย์ก็เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งและมีรายละเอียดมาก เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ประเทศไทยและประเทศต่างๆ ได้กำหนดให้แพทย์และเภสัชกรต้องได้ รับการอบรมกัญชาทางการแพทย์ก่อนจึงจะให้รักษาได้ การให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านกัญชาทางการแพทย์รักษาผู้ป่วย นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโทษร้ายแรงต่อผู้ปวยได้อีกด้วย
- การไม่สามารถแยกระหว่างกัญชาทางการแพทย์กับกัญชาเพื่อนันทนาการ : ผู้ที่เสพกาเพื่อนันทนาการสามารถใช้เหตุผลทางการแพทย์เพื่อคงการใช้แบบนันทนาการของตน
- เยาวชนหรือคนอื่นเข้าถึงกัญชาได้โดยง่าย : เนื่องจากผู้ปลูกอาจจะมีความย่อหย่อนในการป้องกันเยาวชนหรือคนอื่นเข้าถึงการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการ
- การนำกัญชาไปผสมอาหารจนเกิดผลเสียต่อสุขภาพ โดยไม่กสามารถหาผู้รับผิดชอบได้
- การเสพเพื่อนันทนาการที่บ้านไม่เป็นความผิด ทั้งที่การเสพนั้นจะเป็นผลเสียต่อผู้เสพและผูใกล้ชิดในครอบครัว รวมทั้งเด็กและเยาวชน ทั้งในระยะฉับพลันและระยะยาว
การทำให้กัญชาทางการแพทย์เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ควรมีหลักการเบื้องต้น ดังนี้
1. การดำเนินการและการบำบัดรักษาโรค/ภาวะใด ต้องอิงหลักฐานเชิงประจักษ์แบบปัจจุบัน ส่วนความเชื่อหรือ ความรู้ดั้งเดิมนั้น ให้มีการพิสูจน์ด้วยกระบวนการวิจัยที่ได้มาตรฐาน จนทราบถึงประโยชน์และโทษอย่างถ่องแท้ก่อนนำไปใช้กับผู้ป่วย
2. ผลิตภัณฑ์กัญชาต้องมีคุณภาพและอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติยา : เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์กัญชา ผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ต้องไม่มี สารปนเปื้อน ใช้สารสกัดและมีปริมาณของสารออกฤทธิ์ที่ สำคัญ คือ THC และ CBD คงที่ในทุกผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย ผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อการแพทย์ควรอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติยา เช่น มีการขึ้นทะเบียนยา ข้อบ่งใช้ ข้อห้ามใช้ ข้อควรระวัง เอกสารกำกับยา เป็นต้น
3. กลุ่มผู้ให้การรักษา เช่น แพทย์ เภสัชกร ต้องได้รับการอบรมการใช้กัญชามาก่อน
4. ผู้ป่วยต้องได้รับการคัดกรองและประเมินตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังการรักษา
5. มีหน่วยงานภาครัฐกำกับดูแลผลิตภัณฑ์กัญชา เช่น สำนักงานคณะรรมการอาหารและยา (อย.) จัดหาและบริหารผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ โดยอาจดำเนินการเช่นเดียวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์อยู่แล้ว เช่น มอร์ฟิน เมธาโดน ด้วยวิธีการเช่นนี้ไม่เพียงแต่ อย. จะจัดหาผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีคุณภาพให้แล้ว ยังสามารถควบคุมมิให้เกิดการนำผลิตภัณฑ์กัญชาไปใช้ในทางที่ผิดได้อีกด้วย
เนื่องจากหลายประเทศยังกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ และกัญชาที่ได้จากการปลูกโดยบุคคลทั่วไปไม่มีคุณภาพและมีสารปนเปื้อนสูง ระบบการปลูกและผลิตกัญชาของไทยในปัจจุบันจึงไม่สามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศและก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้ การส่งเสริมการปลูกกัญชามากจะทำให้กัญชาล้นตลาด(ภายในประเทศ) ราคาต่ำลงและนำมาใช้เองได้ง่ายหรือเกิดแรงจูงใจให้ใช้เองมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เพื่อนันทนาการ ทำให้ได้รับสารพิษและธาตุโลหะหนักจากกัญชา ซึ่งท้ายที่สุดจะเกิดผลเสียมากมายต่อสุขภาพ และเศรษฐกิจที่จะตามมา
จากเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว แพทยสภา แพทยสมาคมฯและราชวิทยาลัยฯ ต่างๆ ขอเน้นให้ใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกวิธีที่เป็นประโยชน์ แก่ทุกฝ่าย ขอคัดค้านการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการ และขอให้ทุกนโยบายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาได้มีกลไกที่จะยับยั้งการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการด้วยเสมอ