ไทย รับมอบวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ "ไฟเซอร์ bivalent" จากเกาหลี 501,120 โดส
สธ. รับมอบวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ "ไฟเซอร์ bivalent" 501,120 โดส จากรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี คาดกระจายวัคซีนทั่วประเทศสิ้นเดือน ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข (สธ.) รับมอบวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ "ไฟเซอร์ bivalent" จำนวน 501,120 โดส จากรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนส่งมอบ
รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า วัคซีนที่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีสนับสนุนเป็นครั้งที่ 2 นี้ เป็นวัคซีนรุ่นใหม่ของไฟเซอร์ ชนิด bivalent ซึ่งจะเป็นล็อตแรกของประเทศไทยที่จะนำมาใช้สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มเสี่ยงและประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้สาธารณรัฐเกาหลีเคยสนับสนุนวัคซีนแอสตราเซนเนกาให้ไทย เมื่อเดือน ต.ค.2564 จำนวน 470,000 โดส
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 เข็ม ครอบคลุมประชากรมากกว่า 83% และฉีดเข็มกระตุ้นไปแล้ว 39%
รมว.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า ตามมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และผลการศึกษาในช่วงปลายปี 2565 ในประเทศสหรัฐอเมริกาและองค์การอนามัยโลก มีข้อแนะนำให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ bivalent เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มขึ้นไป ซึ่งจะช่วยลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณ 28-56% ความปลอดภัยไม่ต่างกับวัคซีนรุ่นแรกชนิด monovalent สามารถใช้ทั้งชนิด monovalent และ bivalent มาเป็นเข็มกระตุ้นได้ เนื่องจากผลในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรคจะจัดสรรวัคซีนให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร รวมทั้งจัดสรรให้เครือข่ายกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ กรมการแพทย์และสภากาชาดไทย โดยคาดว่าจะจัดส่งวัคซีนประมาณสิ้นเดือน ก.พ.นี้
สำหรับกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ bivalent เข็มกระตุ้น ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย อาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่มเสี่ยงเกิดอาการป่วยรุนแรง (กลุ่ม 608) รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง เช่น สัมผัสกลุ่มเสี่ยง สัมผัสนักท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยต้องได้รับวัคซีนโควิดมาแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม จะฉีดเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือน และเข็มที่ 4 ห่างจากเข็มที่ 3 อย่างน้อย 4 เดือน ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิดมาแล้วและเคยติดเชื้อ จะฉีดหลังติดเชื้ออย่างน้อย 6 เดือน