ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ 'พระสงฆ์' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ 'พระสงฆ์' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

องค์กรพุทธ-สาธารณสุข ร่วมปวารณา สานพลังการขับเคลื่อน 'ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ' หนุนนโยบายสถานชีวาภิบาลโดยองค์กรพระพุทธศาสนา พัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ เชื่อมโยงวัด และ ชุมชน พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

Key Point :

  • โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นปัญหาสุขภาพของพระสงฆ์ ที่น่ากังวล รวมถึง ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ตามมา
  • ที่ผ่านมา มีการขับเคลื่อน 'ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ' ฉบับแรก ปี 2560 เพื่อพัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ทั่วประเทศ และฉบับปรับปรุงล่าสุด ในปี 2566 
  • ในปี 2567 องค์กรเครือข่าย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน เพื่อให้พระสงฆ์มีการป้องกัน รักษา และเข้าถึงสิทธิประโยชน์ พร้อมกับเป็นศูนย์กลางในการสร้างสุขภาวะที่ดีต่อชุมชนสังคม

 

พระภิกษุ และ สามเณร มีปัญหาสุขภาพเป็นจำนวนมาก และที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่ง คือ พระภิกษุและสามเณรที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ อีกทั้ง ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข พบว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ยังเป็นการอาพาธในพระสงฆ์มากที่สุด ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคอ้วน ซึ่งมาจากพฤติกรรมความเป็นอยู่ ข้อจำกัดในการออกกำลังกายหรือกิจกรรมทางกาย หรือพฤติกรรมของฆราวาสที่นำอาหารหวานมันเค็มมาถวาย

 

จากการประชุมสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 5 เมื่อปี 2555 ได้มีฉันทามติร่วมกันในการพัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ทั่วประเทศ โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ จัดทำ 'ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ' ภายใต้มติมหาเถรสมาคม โดยมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ร่วมกันผลักดันและมีการประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับแรก ในปี 2560 และ ปัจจุบัน มหาเถรสมาคม ได้มีการทบทวน ปรับปรุงให้มีการใช้ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พุทธศักราช 2566

 

ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ \'พระสงฆ์\' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

 

 

หลักการ คือ ใช้ทางธรรม นำทางโลก ก่อให้เกิดความเชื่อมโยง ระหว่างวัด และ ชุมชน พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข ภายใน 10 ปีตั้งแต่ ปี 2560 – 2569 โดยมีกรอบแนวทางดำเนินงาน 3 ด้าน คือ

  • พระสงฆ์ กับการดูแลสุขภาพของตนเองตามหลักพระธรรมวินัย
  • ชุมชนและสังคม กับการดูแลพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย
  • บทบาทพระสงฆ์ ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะชุมชนและสังคม

 

วันนี้ (4 มกราคม 2567) องค์กรพระพุทธศาสนา จับมือ องค์กรเครือข่ายด้านสาธารณสุข ปวารณาสานพลังการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ 'ธรรมมรรคาสู่ระบบสุขภาพที่สมดุล' สู่เป้าหมายให้พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเองตามหลักพระธรรมวินัย ชุมชนและสังคมกับการดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย และยกระดับพระสงฆ์เป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม

 

พร้อมหนุนนโยบายรัฐบาล 'การขับเคลื่อนสถานชีวาภิบาลโดยองค์กรพระพุทธศาสนา' ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เพื่อแสดงเจตจำนงร่วมมือกันของหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพพระสงฆ์ ภายใต้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พุทธศักราช 2566

 

สร้างความร่วมมือ ผลักดันพระสงฆ์เข้าถึงสิทธิประโยชน์

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ กล่าวว่า การขับเคลื่อนตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดความร่วมมือของคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านโครงการและกิจกรรมของแต่ละหน่วยงาน เพื่อสนองงานคณะสงฆ์ปกครอง พระสงฆ์นักพัฒนา และพระสงฆ์สาธารณะสงเคราะห์ในทุกระดับ จนเกิดผลที่สำคัญ ดังนี้ 

 

ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ \'พระสงฆ์\' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

 

 

  • พระสงฆ์ทั่วประเทศ เข้าถึงชุดสิทธิประโยชน์พื้นฐานการดูแลสุขภาพ ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง
  • พระสงฆ์ทั่วประเทศ ได้รับการถวายความรู้ การส่งเสริมสุขภาพ และมีการจัดอบรม พระคิลานุปัฏฐากในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัย
  • พัฒนาวัดส่งเสริมสุขภาพ และวัดพัฒนาชุมชนคุณธรรม ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ
  • และในระยะต่อไป วัดจะมีบทบาท มีส่วนร่วม เป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง หรือการดูแลแบบประคับประคองในระยะสุดท้ายขอชีวิต ตามความประสงค์ของตนเองที่ได้แสดงเจตนาไว้
  • พระสงฆ์ทั่วประเทศ ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม โดยใช้ธรรมนูญเป็นเครื่องมือ ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พุทธศักราช 2550 เป็นต้น

 

“จากการประกาศใช้ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติมา 5 ปี คณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญฯ ได้มีมติให้มีการทบทวน และจัดทำธรรมนูญฉบับที่ 2 โดยสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในการวางกรอบและแนวทางในการทบทวน จัดกระบวนการรับฟังความเห็นทั่วประเทศ เพื่อจัดทำธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2566 ซึ่งมหาเถรสมาคม ได้มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ปี 2566 และใช้โอกาสวันวิสาขบูชาโลก ประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับใหม่ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ต่อไป”

 

วัด ศูนย์กลางสุขภาพ

ชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พุทธศักราช 2566 โดยสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงลงพระนามประกาศ ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2566 เพื่อใช้เป็นกรอบ และส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ในทุกระดับ และส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำสุขภาวะชุมชนและสังคม

 

ที่ผ่านมา ภาคีเครือข่ายหน่วยงานต่างๆ ได้ขับเคลื่อนโครงการภายใต้ธรรมสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ที่มุ่งเน้นสนับสนุนให้พระสงฆ์สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ ส่งเสริมการดำเนินงานของวัดส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้วัดเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพของพระสงฆ์ ชุมชน สังคม

 

"ตลอดจนการส่งเสริมให้มีพระคิลานุปัฏฐาก พระคิลานธรรม และพระบริบาลภิกสุไข้ เพื่อเพิ่มศักยภาพพระภิกษุ สามเณร ในการดูแลพระสงฆ์อาพาธ ประกอบกับรัฐบาลได้มีนโยบายสาธารณสุข ในการพัฒนาระบบสาธารณสุข ให้มีสถานส่งเสริมสุขภาพ และสถานชีวาภิบาล เพื่อดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุจนวาระสุดท้าย ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส"

 

ทั้งนี้ ในปี 2567 เกิดความร่วมมือภาคีเครือข่ายสุขภาพ ขับเคลื่อนงาน ผ่านโครงการต่าง อาทิ

  • โครงการส่งเสริมพระคิลานุปัฏฐาก พัฒนาอาสาสมัครดูแลพระสงฆ์อาพาธ
  • การขับเคลื่อนการจัดทำ Smart Card ของพระภิกษุสามและเณร โดยการจัดให้มีการเชื่อมโยง เพื่อให้พระภิกษุสามและเณรได้รับการบริการสาธารณสุขและสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
  • โครงการสังฆาภิบาลเพื่อพระสงฆ์อาพาธ ส่งเสริมวัดให้มีอาคารสถานที่ ในการสังฆาภิบาลดูแลพระสงฆ์อาพาธ
  • โครงการส่งเสริมพระสงฆ์จิตอาสา ทำงานด้านการเยียวยาวความสูญเสียดูแลจิตใจผู้ป่วยไร้ญาติ ทั้งใน รพ. และชุมชน
  • โครงการพัฒนาพระภิกษุสงฆ์ ให้มีองค์ความรู้ ดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค และการบริบาลพระภิกษุไข้ โดยบูรณาการร่วมกับหลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก เป็นต้น

 

สธ. ชูความร่วมมือดูแลสุขภาพพระสงฆ์

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันนี้ภาคีเครือข่ายประกอบด้วย สธ. พศ. ฯลฯ ได้ทำการปวารณาคือการประกาศยินยอมเข้ามารับใช้สานพลังขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 ที่ปรับปรุงแล้ว โดยการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ คือ

1. ทำให้พระสงฆ์ดูแลสุขภาพตนเองได้

2.ทำให้ประชาชน ชุมชน ฆราวาส สามารถดูแลพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัย

3.กลไกโดยรวมทั้งหมดที่จะเอื้อต่อการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ วันนี้จึงประกาศแนวทางทั้งหมด

 

"พระสงฆ์ดูแลสุขภาพตนเอง เช่น จัดอบรมหรือสร้างพระคิลานุปัฏฐากดูแลพระสงฆ์ที่อาพาธ และแนวทางที่เราใช้ดูแลให้เข้มข้นมากขึ้น คือ ดูแลพระสงฆ์อาพาธติดเตียง ระยะสุดท้าย ใช้สถานชีวาภิบาลที่ตั้งขึ้นในวัดได้ ก็จะอบรมพระคิลานุปัฏฐากให้เป็นพระนักบริบาลหรือ Care Giver ซึ่งหากได้ถึง 420 ชั่วโมงก็จะมีความจำเพาะ เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นการสร้างมิติการส่งเสริมป้องกันโรค วัดส่งเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พระสามารถให้ความรู้ประชาชน เพราะมีความเคารพศรัทธา ก้จะสร้างมิติสุขภาพได้ดี" นพ.ชลน่าน กล่าว

 

ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ \'พระสงฆ์\' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

 

ปี 67 ผลักดันฐานข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ที่ผ่านมามีพระสงฆ์และสามเณร ได้รับการตรวจสอบสิทธิเพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุข 164,004 รูป ตรวจคัดกรองสุขภาพ 81,542 รูป เชื่อมโยงวัดกับหน่วยบริการ 9,622 แห่ง มีพระคิลานุปัฏฐากผ่านการอบรม 13,200 รูป มีวัดส่งเสริมสุขภาพผ่านเกณฑ์ประเมิน 18,174 แห่ง และมีวัดร่วมพัฒนาชุมชนคุณธรรม 4,911 แห่ง

 

การขับเคลื่อนในปี 2567 จะผลักดันงานฐานข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์ เพื่อยกระดับการเข้าถึงสิทธิการดูแลสุขภาพและเข้ารับบริการด้านสาธารณสุข ขับเคลื่อนงานกุฏิชีวาภิบาลและสถานชีวาภิบาลถวายการดูแลพระสงฆ์อาพาธและระยะท้าย จัดทำมาตรฐานการจัดบริการของสถานชีวาภิบาลสำหรับองค์กรพระพุทธศาสนา รวมถึงขึ้นทะเบียนวัดที่จัดบริการดูแลพระสงฆ์อาพาธ/ผู้ป่วย เป็นหน่วยบริการรับส่งต่อที่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้

 

พระสงฆ์ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคอ้วน

นพ.ชลน่านกล่าวว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเป็นการอาพาธในพระสงฆ์มากที่สุด ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคอ้วน ซึ่งมาจากพฤติกรรมความเป็นอยู่ ต้องยอมรับว่า การปฏิบัติมีข้อจำกัดในการออกกำลังกายหรือกิจกรรมทางกาย หรือพฤติกรรมของฆราวาสที่นำอาหารหวานมันเค็มมาถวาย ซึ่งถวายอย่างไรก็ต้องฉันเช่นนั้น จึงต้องมาให้แนวทางร่วมกันทำอย่างไรดูแลสุขภาพพระสงฆ์ ถวายอาหารให้เหมาะสมอย่างไร ลดหวานมันเค็มอย่างไร

 

สำหรับการดูแลพระสงฆ์เราตั้งเป้าหมายมีกุฏิชีวาภิบาลคือ 1 อำเภอ 1 วัด ที่มีอยู่ก็ดำเนินการอยู่ แต่จะเปิดอย่างเป็นทางการปลายเดือน ก.พ.นี้ ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี และขับเคลื่อนสถานชีวาภิบาลหรือกุฏิชีวาภิบาลกระจายทุกอำเภอ ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมอาคารสถานที่ บุคลากร ที่จะดูแล ทั้งพระสงฆ์หรือบุคลากรทางการแพทย์ วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ ระบบสื่อสาร เทเลเมดิซีน เทเลฟาร์มาซี

 

ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ \'พระสงฆ์\' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข

 

ด้าน นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นการร่วมกันทำความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 หน่วยงานภาคีเครือข่ายจึงขอปวารณาสานพลังการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ และจะขับเคลื่อนงานอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสืบไป

 

ส่งเสริมพระสงฆ์ สู่ผู้นำชุมชน

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ.2555 ในประเด็นพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ โดยเป็นหนึ่งในเครื่องมือตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่มุ่งให้พระสงฆ์มีสุขภาพที่ดี รวมถึงการส่งเสริมให้พระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำของชุมชนและสังคมไทยได้เมตตาปฏิบัติศาสนกิจและบทบาทการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะให้กับสังคมไทย

 

"การร่วมปวารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสานพลังอย่างแท้จริงในการร่วมมือที่ไม่ใช่เพียงภาครัฐอย่างเดียว แต่ทุกภาคส่วนก็มีส่วนสำคัญในการสร้างระบบสุขภาพได้อย่างสมดุล โดยมีคณะสงฆ์ และวัดเป็นศูนย์กลาง" 

 

หลักเกณฑ์ สปสช. ให้วัดขึ้นทะเบียนสถานชีวาภิบาล

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ล่าสุด สปสช. ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานหรือองค์กรที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยติดเตียง บริการดูแลแบบประคับประคองและระยะท้ายเป็นสถานบริการสาธารณสุข ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545

 

"ซึ่งจะทำให้วัด สามารถขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการด้านชีวาภิบาล เพื่อให้การดูแลภิกษุหรือญาติโยมที่ป่วยระยะสุดท้ายได้ อันจะเป็นการส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์การเป็นผู้นำด้านสุขภาวะในชุมชนตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างแท้จริง"

 

ทั้งนี้ สำหรับ 14 องค์กร ประกอบด้วย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันบรมราชชนก กรมอนามัย กรมการแพทย์ กรมการศาสนา แพทยสภา สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และเครือข่ายพระสงฆ์สาธารณสงเคราะห์

 

 

ปี 67 เดินหน้าสุขภาวะ \'พระสงฆ์\' พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข