ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็น 'มะเร็งตับ' อาหารยอดฮิตอาจมีส่วนเพิ่มความเสี่ยง

ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็น 'มะเร็งตับ'  อาหารยอดฮิตอาจมีส่วนเพิ่มความเสี่ยง

‘มะเร็งตับ’ไม่ได้เป็นเฉพาะคนที่ดื่มเหล้าเท่านั้น แต่อาหารยอดฮิตที่รับประทานกัน ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดได้ แม้แต่วัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมของส้มตำ หากเลือกไม่ดีก็อันตราย 

Keypoints:

  • ในประเทศไทย มะเร็งตับและท่อน้ำดี เป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 1 เพศชายและอันดับ3ในเพศหญิง มีผู้ป่วยใหม่ราวปีละกว่า 20,000 ราย เสียชีวิต 15,600 ราย 
  • สาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับที่หลายคนอาจไม่ทราบ คือ จากอาหารที่รับประทาน  หากนำวัตถุดิบที่มีสารพิษ หรืออาหารบางชนิดที่ทำให้มีความเสี่ยงไขมันพอกตับ จนนานไปกลายเป็นมะเร็งได้เช่นกัน
  • มะเร็งครบวงจร นโยบายกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ลุยคัดกรองผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี/ซี ดูแลรักษาป้องกันมะเร็งตับ และให้สิทธิประโยชน์รักษาผู้ป่วยมะเร็งตับเพิ่มเติม

 

มะเร็งตับ และ มะเร็งท่อน้ำดี ในประเทศไทย ถือเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิงข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย ปี 2561 พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งตับ รายใหม่ 22,213 คน/ปี ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 15,650 คน/ปี

มะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ

  1. มะเร็งของเซลล์ตับ
  2. มะเร็งท่อน้ำดีตับ

โดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

สาเหตุของมะเร็งตับ ส่วนมากเกิดจากการเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี ส่วนสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดีเกิดจากพยาธิใบไม้ตับร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีดินประสิว (ไนเตรท) และไนไตรท์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้มแหนม เป็นต้น

นอกจากนี้ การดื่มสุราเป็นประจำ การรับสารพิษอะฟลาท็อกซินที่เกิดจากเชื้อราบางชนิดที่พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง รวมถึง ไวรัสตับอักเสบชนิดซีก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้  และการมีไขมันพอกตับก็เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน 


ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็น \'มะเร็งตับ\'  อาหารยอดฮิตอาจมีส่วนเพิ่มความเสี่ยง

 

วัตถุดิบในส้มตำอาจเสี่ยงมะเร็งตับ 

เรื่องของการดื่มสุราทำให้เป็นมะเร็งตับนั้น เป็นที่ทราบอันตรายดีอยู่แล้ว ในที่นี้จึงขอพูดถึงสาเหตุอื่น โดนเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอาหาร

ดังที่กล่าว สารพิษอะฟลาท็อกซิน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ และมักจะพบในอาหารแห้ง เช่น ถั่วลิสง กุ้งแห้ง ข้าวโพด กระเทียมที่มีการจัดเก็บอย่างไม่เหมาะสม ก็เกิดสารพิษนี้  ซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดให้ สารอะฟลาท็อกซินเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง

ผู้ที่ได้รับอะฟลาท็อกซิน ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการในระยะแรกๆ จะมาแสดงอาการเมื่อเกิดการเรื้อรังแล้ว คือกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อราแล้วเชื้อรานั้นสร้างสารอะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดการอักเสบของตับเรื้อรัง เกิดภาวะตับแข็ง ก่อเกิดมะเร็งตับ และอาจมีผลต่อระบบไต หัวใจ

สารอะฟลาท็อกซินมักพบได้ในวัตถุดิบทางการเกษตรที่นำมาแปรรูปและเก็บอย่างไม่เหมาะสม ได้แก่

  1. ผลิตภัณฑ์ประเภทแป้ง
  2. ผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสง
  3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์
  4. มันสำปะหลัง
  5. ผักและผลไม้อบแห้ง
  6. ปลาแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ
  7. มะพร้าวแห้ง
  8. หัวหอมแห้ง กระเทียมแห้ง พริกแห้ง พริกไทย งา

 

ฉะนั้นแล้ว ส้มตำที่มีการใส่ปลาร้าไม่สุกก็มีความเสี่ยง หรือที่มีการใส่ถั่วลิสง กุ้งแห้ง พริกแห้ง หรือกระเทียม ก็ย่อมมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารพิษนี้

เช่นเดียวกับ อาหารประเภทอื่นที่ต้องใช้ของเหล่านี้เป็นส่วนผสม หากคนขายหรือคนทำไม่ได้เลือกวัตถุดิบที่มีความปลอดภัย ไม่มีเชื้อรา

การป้องกันสารอะฟลาท็อกซินทำได้ดังนี้

1. เลือกซื้ออาหารหรือวัตถุดิบแห้งที่อยู่ในสภาพใหม่ บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่มีเชื้อรา สะอาด

2. ต้องไม่มีกลิ่นอับ ส่งกลิ่นเหม็น หรือชื้น

3. ไม่เก็บอาหารแห้งเหล่านั้นไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อราได้

4. นำอาหารแห้งเหล่านั้นไปตากแดดจัดๆ เพราะความร้อนจากแดดจะทำให้ความชื้นลดลง
 

ชานมไข่มุก-ไขมันพอกตับ-มะเร็งตับ 

โรคไขมันพอกตับ คือ ภาวะความผิดปกติของตับเกิดจากการสะสมของไขมันในเซลล์ตับที่มีปริมาณมาก มีความสัมพันธ์กับ ภาวะน้ำหนักเกิน และไขมันในเลือดสูง หรือน้ำตาลในเลือดสูง

ผู้ที่ไขมันพอกตับราว 1 ใน 3 อาจมีการอักเสบของตับได้ หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานานจะสะสมของพังผืด เมื่อมีปริมาณมากก็จะนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับ  

ถามว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับ ชานมไข่มุก  ซึ่งการดื่มชานมไข่มุกนั้นไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งตับ แต่เป็นเพียงการยกตัวอย่าง เครื่องดื่มที่กำลังเป็นที่นิยม มาแสดงให้เห็นว่า หากดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวานเป็นเวลานานๆ ไม่เพียงแต่ชานมไข่มุก แต่หมายถึงเครื่องดื่มอื่นๆและอาหารอื่นๆที่มีความหวาน มีไขมันในปริมาณมากและสม่ำเสมอ อาจทำให้เกิดไขมันพอกตับขึ้นได้  เป็นความเสี่ยงหนึ่ง

 

คัดกรองไวรัสตับอักเสบก่อนเป็นมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบB และ ไวรัสตับอักเสบC ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งตับเช่นกันนั้น  ในไทยผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีปัจจุบันมี 2.2 ล้านคน ซึ่งยังไม่มียารักษา แต่มียาช่วยไม่ให้ตับถูกทำลาย ซึ่งทางที่ดีที่สุดเราต้องคัดกรองให้เร็ว และหากกลุ่มไหนฉีดวัคซีนได้ต้องรีบฉีดวัคซีนป้องกัน โดยผู้ป่วยเฉลี่ยพบ 4-5%  โดย 90% หายขาดได้ แต่มี 10% เป็นเรื้อรัง และในระยะยาว 20-30 ปี พบ 10% อาจลุกลามตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

ไวรัสตับตับอักเสบซีมีประมาณ 3 แสน -7 แสนคน มียารักษาหายขาดได้ กิน 12 สัปดาห์ จึงต้องตรวจคัดกรองให้เร็วเช่นกัน  โดยไวรัสตับอักเสบซี 90% ไม่หายขาด และ 10% หายได้  

นโยบายมะเร็งครบวงจร ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เดินหน้าคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี/ซี กลุ่มเป้าหมาย คือ ประชากรที่เกิดก่อนปี 2535 เนื่องจากผู้ที่เกิดหลังจากนี้จะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแล้ว และกลุ่มเสี่ยง โดยมีเป้าหมายคัดกรองให้ได้ 1 ล้านคน ภายในปี 2567 และผู้ที่มีผลผิดปกติเข้าถึงการรักษาทุกราย 


ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็น \'มะเร็งตับ\'  อาหารยอดฮิตอาจมีส่วนเพิ่มความเสี่ยง

 

นอกจากนี้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 มีมติเพิ่มสิทธิประโยชน์การรักษามะเร็งด้วยการฝังแร่เฉพาะที่เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในตา (Plaque brachytherapy) และการรักษามะเร็งโดยการใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด (Robotic Surgery) ในโรคมะเร็ง 3 รายการ คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งตับ ตับอ่อนและท่อน้ำดี ซึ่งทั้งหมดนี้เดิมไม่สามารถเบิกจ่ายได้จากสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

 

อาการมะเร็งตับและท่อน้ำดี 

นพ.ชัยรัตน์  บุญเฉลียว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งตับและท่อน้ำดี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับและท่อน้ำดีแต่ละรายอาจมีการแสดงอาการแตกต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไปมักไม่มีอาการในระยะแรก อาการส่วนใหญ่ที่พบคือ

  • แน่นท้องท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ
  • อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลด
  • ปวดหรือเสียดชายโครงขวา
  • อาจคลำพบก้อนในช่องท้อง
  • ตัวเหลืองตาเหลือง
  • ท้องโต
  • มีอาการบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง เป็นต้น

หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เช่น การตรวจเลือดดูความผิดปกติการทํางานของตับ การตรวจระดับอัลฟาฟีโตโปรตีน การอัลตราซาวด์เพื่อดูก้อนที่ตับ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก เป็นต้น

 

การป้องกันโรคมะเร็งตับทำได้โดย

  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเด็กแรกเกิดทุกคน
  •  ไม่รับประทานปลาน้ำจืดดิบ
  • ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพ
  • รับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่อาจปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซิน อาหารที่มีดินประสิว และอาหารหมักดอง เป็นต้น

 

หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับและท่อน้ำดี ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบหรือท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ควรรับการตรวจหามะเร็งอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับหรือมะเร็งท่อน้ำดีได้ 

 

 

อ้างอิง : กระทรวงสาธารณสุข ,กรมการแพทย์,กรมควบคุมโรค ,คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี  ,รพ.เมดพาร์ค