'ดิจิทัลเฮลท์' ขับเคลื่อน รพ.สธ. แก้โจทย์ปัญหาใหญ่ 2 เรื่อง

'ดิจิทัลเฮลท์' ขับเคลื่อน รพ.สธ. แก้โจทย์ปัญหาใหญ่ 2 เรื่อง

ขับเคลื่อนระบบสุขภาพดิจิทัล(digital health) มาใช้ใน รพ.สธ. แก้โจทย์ปัญหาสำคัญอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ ผู้ป่วยรอคิวรักษานานและบุคลากรมีภาระงานมากล้น  

KEY

POINTS

  • กระทรวงสาธาร

รพ.รัฐ อย่างรพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข(รพ.สธ.)ที่ดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยส่วนใหญ่ในประเทศ โดยประมาณ 80 % เป็นผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง 30 บาท ที่มีอยู่ราว 47 ล้านคน มีโจทย์ปัญหาสำคัญอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ งบประมาณไม่เพียงพอ  ผู้ป่วยรอคิวรักษานานและบุคลากรมีภาระงานมากล้น  
หนึ่งในแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ใช้แก้ปัญหาและมีการขับเคลื่อน ด้วยการสนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดเป็น “สมาร์ทฮอสพิเทล(Smart Hospital) มาตั้งแต่ปี  2561 นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริหารจัดการ ระบบฐานข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดบริการประชาชน ทั้งด้าน ความสะดวกรวดเร็ว และความปลอดภัย

ขณะนี้รพ.ในสังกัดเกือบ 100 % ตั้งแต่ระดับรพ.ชุมชน(รพ.ประจำอำเภอ) รพ.ทั่วไป(รพ.จังหวัด)และรพ.ศูนย์ ล้วนเป็น Smart Hospital
นโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าขับเคลื่อนสู่การเป็นระบบสุขภาพดิจิทัลหรือดิจิทัลเฮลท์ เพื่อยกระดับรูปแบบการให้บริการสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมายังโรงพยาบาล ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์

ศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพ (Health Data Hub)

ปัจจัยที่จะทำให้การขับเคลื่อนประสบความสำเร็จ คือ การพัฒนาศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพ ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพแบบไร้รอยต่อ ตั้งแต่ รพ.สต. ไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ และจะเป็นการขยายการใช้งานฐานข้อมูลสุขภาพระดับประเทศที่มีประสิทธิภาพ
นำมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของบุคลากรทางการแพทย์ การกำหนดนโยบาย และส่งเสริมการให้บริการที่ครอบคลุมเท่าเทียมมากขึ้น โดยคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลเป็นสำคัญ

ระบบฐานข้อมูล Health Data Center เป็น ระบบบันทึกข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล ระบบศูนย์กลางข้อมูลทางการเงิน (Financial Data Hub) ระบบดิจิทัลเฝ้าระวังโรค (Digital Disease Surveillance) และระบบ Health Resource Hub

ล่าสุด อยู่ระหว่างดำเนินการปักหมุดพิกัดหลังคาเรือนผู้ป่วย (Thailand Health Atlas) ใน 9 กลุ่มโรค และพระสงฆ์ โดยเจ้าหน้าที่หน่วยบริการและ อสม. ปัจจุบันปักหมุดไปแล้วกว่า 50 %

ทั้งนี้ การทำให้ข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการคาดการณ์แนวโน้มโรค พัฒนานโยบายสาธารณสุข เพิ่มคุณภาพการรักษาพยาบาลได้นั้น หน่วยงานทุกระดับต้องร่วมกันพัฒนาศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

เอไอ(AI)เพิ่มประสิทธิภาพ-ลดภาระงาน

ไม่เพียงเท่านี้ ปัจจุบันสธ.มีแผนพัฒนาและประยุกต์ใช้เอไอ( AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วย รวมถึงช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีการใช้งานในหลายด้าน ได้แก่

  •  AI ช่วยตอบคำถามด้านสุขภาพ เช่น AI Chatbot บนหมอพร้อม และ Panthai AI Doctor & Chatbot ของกรมการแพทย์แผนไทย
  •  AI ช่วยวิเคราะห์ คัดกรอง และวินิจฉัยความผิดปกติ เช่น MOPH AI ของสำนักสุขภาพดิจิทัล ที่นำมาใช้ใน MOPH Imaging Hub สำหรับวิเคราะห์ภาพทางรังสี, การอ่านผลคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) และตรวจจับคุณภาพการนอนหลับ และช่วยคัดกรองพยาธิสภาพในภาพทางการแพทย์
  • AI วิเคราะห์ภาพจอประสาทตาของกรมการแพทย์
  • AI วิเคราะห์ภาพช่องปากของกรมอนามัย
  • AI สำหรับ Target Therapy ใน Modified ECT สำหรับผู้ป่วยจิตเวชของกรมสุขภาพจิต
  • AI บนแอปพลิเคชัน “เห็ดพิษ” ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 
  • AI มาใช้ในการช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องข้อมูล เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลโภชนาการ (KINDEE) บนหมอพร้อมไลน์ OA
  • AI ตรวจสอบข่าวปลอมและโฆษณาผิดกฎหมายผ่าน MedAdCheck ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
  • AI วิเคราะห์ข้อมูลเครื่องมือแพทย์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ในส่วนการใช้ AI ช่วยในระบบสนับสนุนบริการทางการแพทย์ มีทั้ง AI สรุปประวัติการรักษาผู้ป่วย เช่น AI ที่ช่วยสรุปข้อมูลสำคัญในการส่งต่อผู้ป่วยผ่านระบบ MOPH Refer (AI Summar สำหรับ Full Medical record) และ AI วิเคราะห์ข้อมูลการเบิกจ่ายและลงรหัสโรคให้ถูกต้อง ซึ่งการพัฒนา AI

ระบบส่งต่อผู้ป่วย MOPH Refer

จากการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพดิจิทัล โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเน้นการส่งตัวผู้ป่วยในรูปแบบดิจิทัล ผ่านระบบ MOPH Refer หรือระบบ platform refer อื่นๆ ที่เขตสุขภาพบางแห่งพัฒนาใช้อยู่เดิมและมีการเชื่อมต่อกับระบบกลาง MOPH Refer แล้ว  เพื่อที่ผู้ป่วยที่ต้องส่งตัวไปรักษาในรพ.อื่น จะได้ไม่ต้องหอบประวัติการรักษาติดตัวไปเหมือนในอดีค 

ขณะนี้มีโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระรวงสาธารณสุขเข้าร่วมโครงการแล้ว 865 แห่ง จาก 902 แห่งทั่วประเทศ ออกใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว 105,051 ใบ ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ล่าสุด มีการเชื่อมโยงระบบแล้ว 518 แห่ง และอยู่ระหว่างเตรียมขยายการเชื่อมระบบกับหน่วยงานนอกกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพัฒนาระบบบริการอย่างไร้รอยต่อแก่ประชาชนต่อไป

Financial Data Hub เตรียมข้อมูลเบิกจ่ายกองทุน

สธ.ทำข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ดำเนินการเรื่องศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data Hub) ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะทำให้เกิดเครือข่ายข้อมูลสุขภาพดิจิทัล ในกรอบข้อมูลด้านการเงินและการเบิกจ่ายของโรพ.สธ.

และนำข้อมูลมาจัดทำเป็น Big data วิเคราะห์ประมวลผลในรูปแบบ Business intelligence เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานในการคีย์ข้อมูลของหน่วยบริการ รวมทั้งเป็นการเตรียมพร้อมข้อมูลสำหรับการเบิกจ่ายไปยังกองทุนต่างๆ 

เพิ่มจุดบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

สำหรับปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการของผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล  เมื่อเร็วๆนี้ มีการดำเนินงาน “โครงการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและเพื่อสังคมในพื้นที่ขาดแคลนหรือยังขาดบริการที่ทั่วถึง”
เป็นการพัฒนาระบบสาธารณสุขและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนหรือพื้นที่ที่ยังขาดบริการที่ทั่วถึง ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน กสทช.

ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายในการจัดให้มีจุดบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใน รพ.สต. พื้นที่ขาดแคลนหรือขาดบริการที่ทั่วถึง จำนวน 2,917 แห่ง ใน 12 เขตสุขภาพ กรอบวงเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท

เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเชื่อมต่อบริการและส่งต่อข้อมูลทางการแพทย์ให้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการดูแลประชาชนยิ่งขึ้น ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดช่องว่างระหว่างประชาชนที่อาศัยในชุมชนเมืองและชนบทให้เกิดความเท่าเทียม ปีแรกจะเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ และจะสามารถให้บริการได้ในปีที่ 2-6

ฟังก์ชัน "กินดี" ใน LINE "หมอพร้อม"

ไม่เพียงแต่ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในช่วยเรื่องการรักษาพยาบาลเท่านั้น ยังมีการนำมาใช้ในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคด้วย 

สำนักสุขภาพดิจิทัล กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับ "แพลตฟอร์มกินดี" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยคำนวณปริมาณแคลอรีของอาหารทุกประเภทผ่านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) นำมาใช้งานผ่าน "หมอพร้อม Line OA" ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 11 ล้านคน เพื่อตอบรับนโยบายควบคุมโรค NCDs และนโยบายดิจิทัลสุขภาพ ที่จะพัฒนาและนำเทคโนโลยี AI มาสนับสนุนนวัตกรรมด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

ฟังก์ชัน "กินดี" ในแถบเมนูของหมอพร้อม Line OA แล้ว ผู้ใช้งานเพียงคลิกฟังก์ชัน "กินดี" จะสามารถถ่ายรูปอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ หรือพิมพ์แชต โดยพิมพ์คำว่า "เพิ่ม" เว้นวรรค แล้วตามด้วย "ชื่อเมนูอาหาร"

AI จะประมวลผลและให้ข้อมูลส่วนประกอบของอาหารนั้น ปริมาณแคลอรี สัดส่วนโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต รวมถึงคำแนะนำด้านสุขภาพ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มกินดียังมีฟีเจอร์ในการช่วยตั้งเป้าหมายสุขภาพ ช่วยวิเคราะห์การกิน ตรวจสอบประวัติการกินอาหาร และแนะนำอาหารที่เหมาะสมได้ด้วย

คาดว่าการผนึกกำลังกับแพลตฟอร์มกินดี จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถปรับพฤติกรรมและควบคุมการกินอาหารให้เหมาะสม ส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรค NCDs ได้ดียิ่งขึ้น