ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน จ่อฟ้องร้อง ‘คกก.นโยบายน้ำเมา’

ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน จ่อฟ้องร้อง ‘คกก.นโยบายน้ำเมา’

ภาคีเครือข่ายภาคประชาชนกว่า 200 คน  บุก สธ.ค้านปลดล็อกวัน เวลา สถานที่ขายน้ำเมา  ลั่นผิดหวังใช้เหล้าเบียร์กระตุ้นเศรษฐกิจ   จ่อฟ้องคกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ

​เมื่อวันที่  7 มีนาคม 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  ภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ประกอบด้วย เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์  เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง  เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต  ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน  เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ  เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง กว่า 200 คน  ตั้งขบวนบริเวณด้านหน้ากระทรวง เพื่อรอพบนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีการประชุมในวันที่ 7 มี.ค.2568 ในการพิจารณาปลดล็อคการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน จ่อฟ้องร้อง ‘คกก.นโยบายน้ำเมา’

เครือข่ายฯได้แสดงละครล้อการเมืองรับลูกธุรกิจน้ำเมา และผลกระทบที่จะตามมา โดยเนื้อหามีตัวแสดงเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ (ตามกฎหมาย) และมีการรับข้อเสนอจากตัวแสดงเป็นนายทุนน้ำเมา ในการปลดล็อกนโยบายน้ำเมา เรื่องยกเลิกห้ามขายเหล้าแบบออนไลน์ ยกเลิกห้ามขายเหล้าวันพระใหญ่ ยกเลิกห้ามขายเหล้าช่วงบ่าย(เวลา 11.00-14.00 น.) และยกเลิกห้ามขายเหล้าบนรถไฟและบริเวณสถานีรถไฟ ขณะที่ภาคประชาสังคม ประชาชนและเด็กเยาวชนคัดค้าน  

ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ ไม่ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุมแบบOn site แต่เป็นการเข้าประชุมผ่านระบบออนไลน์ และนพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์รับหนังสือแทน

ผิดหวังรัฐบาล-คกก.นโยบายน้ำเมา

ภาคีฯมีการแสดงจุดยืนและมีข้อเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในการปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชน และลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดังต่อไปนี้ 1.เครือข่ายผิดหวังกับรัฐบาล  และคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ  ที่มีจุดยืนสนับสนุนนายทุนน้ำเมา  มากจนละเลยการปกป้องคุ้มครองชีวิตประชาชน  และหากเกิดความเสียหาย สูญเสียเพิ่มขึ้นจากการตัดสินใจทางนโยบายครั้งนี้  ควรตามมาด้วยความรับผิดชอบทางการเมืองของผู้มีอำนาจตัดสินใจด้วย

ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน จ่อฟ้องร้อง ‘คกก.นโยบายน้ำเมา’

2.ขอคัดค้านการอนุญาตให้ขายสุราวันพระใหญ่ ในสถานบริการและสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการในพื้นที่ท่องเที่ยว   เพราะนอกจากเป็นการเลือกปฏิบัติแล้วยัง  ทำให้ยากในการบังคับใช้กฎหมาย  เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในการขยายเวลาขายสุราถึง 04.00 น. ในพื้นที่นำร่อง  ที่พบว่าการขอความร่วมมือไม่ขายให้คนเมา  มีรถรับส่ง  มีจุดพักรอ  มีการตรวจวัดปริมาณสุรา ฯลฯ นั้น ไม่เป็นจริงเลยในทางปฏิบัติ    
ควรพิจารณาหลังมีพ.ร.บ.คุมน้ำเมาฉบับใหม่     

3.เครือข่ายยังหวังว่าคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  จะมีความรอบคอบเพียงพอที่จะถ่วงดุลปกป้องคุ้มครองชีวิตประชาชนในการประชุมวันนี้  ทั้งนี้เครือข่าย เห็นด้วยให้มีการศึกษา ทบทวนกฎหมายให้มีความทันสมัยและสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับประเด็นการห้ามขายออนไลน์ที่คณะกรรมการนโยบายฯ มีมติให้มีการศึกษา แต่ขอยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงใดเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ควรเกิดขึ้นหลังจากที่ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับแก้ไข ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว  ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นและมีหลายมาตรการที่ก้าวหน้า ไม่สร้างปัญหาเพิ่ม   

4.ขอเรียกร้องผ่านไปยังรัฐบาล โปรดพิจารณาดำเนินการที่จะปกป้องคุ้มครองชีวิตประชาชนและนักท่องเที่ยวจากภัยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ด้วยการเร่งผลักดัน ปรับปรุง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2565 ให้มีการเพิ่มโทษ ผู้ที่เมาแล้วขับและหากมีผู้เสียชีวิต  ต้องติดคุกจริงไม่รอลงอาญา ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509  ให้ทันสมัย นำสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการเข้ามาอยู่ในการควบคุม และจัดเก็บรายได้เข้ารัฐให้มากขึ้น พิจารณามาตรการจำกัดใบอนุญาตต่อหัวประชากรที่เหมาะสม แยกประเภทร้านนั่งดื่มและซื้อกลับให้ชัดเจนเพื่อง่ายต่อการควบคุมดูแล ตลอดจนเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ประกอบการให้มากขึ้น รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

กระบวนการปลดล็อกน้ำเมา เร่งรีบผิดปกติ

นายธีรภัทร์  คหะวงศ์   ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สัมภาษณ์ว่า ภาคีเครือข่ายมีความผิดหวังกับมติของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ และแนวนโนบายของรัฐบาล ซึ่งภาคีไม่ได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่มองว่าข้อเสนอจากภาคธุรกิจ ได้รับความเห็นชอบง่ายกว่าข้อเสนอจากประชาชน

นายธีรภัทร์  กล่าวอีกว่า  กระบวนการนำเสนอมติของคณะกรรมการนโยบายฯ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2568 ไม่เป็นไปตามกลไกโดยปกติ ที่เดิมควรจะเริ่มจากคณะกรรมการศึกษาผลกระทบ เสนอไปยังคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วจึงนำเสนอไปคณะกรรมการนโยบายฯ แต่ครั้งนี้เป็นการที่คณะกรรมกรรนโยบายฯ มีความเห็นลงมาแล้วให้คณะกรรมการควบคุมฯ มาประชุมภายหลัง
ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน จ่อฟ้องร้อง ‘คกก.นโยบายน้ำเมา’

อย่าหลงตามเกม ระวังเป็นแพะรับบาป

“มองว่าเป็นการทำให้คณะกรรมการควบคุมฯ ต้องมาประทับตราในการปลดล็อกเรื่องวัน เวลา สถานที่ขายน้ำเมาให้คณะกรรมการนโยบายฯแทน ซึ่งคณะกรรมการควบคุมฯไม่ควรเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายฯ เพราะจะเป็นการไปช่วยรับรอง เพราะจริงๆ แล้วถ้าคณะกรรมการนโยบายฯ เห็นชอบแล้ว รมว.สาธารณสุข ลงนามประกาศได้ทันทีตามคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายฯ ไม่ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมฯแล้ว จึงรู้สึกเหมือนว่าเอาคณะกรรมการควบคุมฯมาเป็นแพะรับบาปหากเห็นชอบรับรองตามมติคณะกรรมการนโยบายฯ” นายธีรภัทร์กล่าว   

จ่อหาทางฟ้องร้องคกก.นโยบายน้ำเมา

นายธีรภัทร์ กล่าวด้วยว่า  หากที่สุดแล้วมีการดำเนินการปลดล็อกวัน เวลา สถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามมติคณะกรรมการนโยบายฯ ก็จะต้องมีกระบวนการติดตามในนโยบายที่เป็นมติด้วย หลายฝ่ายกำลังหารือในช่องทางที่จะดำเนินการฟ้องร้องคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ และรัฐบาล ซึ่งประชาชนจะสามารถฟ้องร้องให้รับผิดชอบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้

อย่างเช่น ก่อนหน้านี้ที่มีการอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบันเทิงได้ถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง ที่มีคนเสียชีวิตมากขึ้น ยังไม่เห็นความรับผิดชอบจากรัฐบาลที่ออกนโยบาย หรือแม้แต่ภาคธุรกิจที่จะให้มาควบคุมเรื่องการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ หรือการส่งกลับบ้านไม่มีการดำเนินการเลย เพราะฉะนั้น ต้องมีความรับผิดชอบทางการเมือง 
ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน จ่อฟ้องร้อง ‘คกก.นโยบายน้ำเมา’