เปิดตารางเทียบราคาเวชภัณฑ์ รพ.เอกชนอัปเพิ่มสูงสุด 6900 %

ร่วมจ่าย Co-payment ประกันสุขภาพเอกชน สภาผู้บริโภคลั่นแก้ปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ผิดจุด เปิดตัวเลขเปรียบเทียบเวชภัณฑ์รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง อัปราคา 6900 % จี้พาณิชย์คุม
KEY
POINTS
- ร่วมจ่าย Co-payment ประกันสุขภาพเอกชน สภาองค์กรของผู้บริโภค ชี้ผลักภาระให้ผู้ป่วย กระทบกลุ่มเปราะบางเด็กและผู้สูงอายุ เสี่ยงเปิดช่องปฏิเสธความคุ้มครอง
- ร่วมจ่าย Co-payment ประก
“กรุงเทพธุรกิจ” ติดตามต่อเนื่องเรื่อง “ร่วมจ่าย Co-payment ประกันสุขภาพเอกชน” ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับเสียงสะท้อนจากสภาองค์กรของผู้บริโภคว่า อัตราร่วมจ่าย 30-50 %นั้นสูงมาก เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแก่ประชาชน ทำให้การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ยากขึ้น ขณะที่รพ.เอกชนคิดค่ารักษาพยาบาลสูงโดยเฉพาะค่าแพทย์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และได้ยื่นเรื่องให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ชะลอการบังคับใช้และทบทวนหลักเกณฑ์นั้น
ช่องโหว่กลุ่มเปราะบางถูกปฏิเสธความคุ้มครอง
ล่าสุด มลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า การหารือร่วมกับคปภ.ในวันที่ไปยื่นหนังสือขอให้ชะลอและทบทวนเมื่อ 20 มี.ค.2568นั้น คปภ.ยอมรับว่าหลักเกณฑ์ของมาตรการร่วมจ่ายยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในกรณีโรคเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) ซึ่งสภาผู้บริโภคตั้งคำถามถึงที่มาของหลักเกณฑ์หรือข้อมูลใดในการกำหนดอัตราร่วมจ่ายสูงถึง 30-50 %
ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนในการนิยามคำว่า โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย ที่อาจถูกใช้เป็นช่องโหว่ในการปฏิเสธความคุ้มครอง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีภาวะแทรกซ้อนหลายโรค พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น ท้องร่วง ปอดบวม กระเพาะและลำไส้อักเสบ ต้อกระจก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งยังไม่มีการกำหนดแนวทางรองรับที่ชัดเจน ทั้งที่กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูงและจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม
“แม้ คปภ. จะมีเจตนาควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล แต่มาตรการร่วมจ่ายไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมเกินจริงได้ ไม่ใช่คำตอบที่ตรงจุด และอาจยิ่งเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มโรคที่เกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มเปราะบางเด็กและผู้สูงอายุ ที่มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องต้องการความคุ้มครองทางสุขภาพมากเป็นพิเศษ”
แก้ปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ผิดจุด
สภาผู้บริโภคตั้งข้อสังเกตต่อปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งมีสาเหตุหลักจากค่ารักษาพยาบาลในรพ.เอกชนที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยไม่มีมาตรการควบคุมต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม แม้ คปภ. จะระบุว่าการออกมาตรการร่วมจ่าย Co-payment ประกันสุขภาพเอกชน เป็นแนวทางในการยับยั้งการเรียกร้องค่ารักษาที่ไม่สมเหตุสมผล
“แต่สภาผู้บริโภคเห็นว่าเป็นการแก้ไขปัญหาผิดจุด เพราะต้นตอของปัญหาอยู่ที่ราคาค่ารักษาพยาบาลที่ไม่เป็นธรรม ซึ่ง คปภ.รับจะนำข้อเสนอเหล่านี้ไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงเกณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น”
มลฤดี กล่าวอีกว่า จากข้อมูลเรื่องร้องเรียนที่รวบรวมพบว่าค่ารักษาพยาบาลในรพ.เอกชนเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม เช่น น้ำเกลือที่มีต้นทุนเพียง 45 บาทแต่ถูกคิดราคาถึง 900 บาทหรือมากกว่า 20 เท่า สะท้อนชัดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ป่วยเรียกร้องมากเกินไป แต่อยู่ที่ต้นทุนการรักษาที่แพงเกินจริง
นอกจากนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอให้มีมาตรการกำกับดูแลตัวแทนขายประกันไม่ให้บิดเบือนข้อมูลหรือใช้กลยุทธ์ที่อาจหลอกลวงผู้บริโภค โดยเฉพาะการเสนอขายกรมธรรม์ร่วมจ่ายว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจผลักภาระให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
รพ.เอกชนอัปราคาเวชภัณฑ์สูงเกินจริง
สอดรับกับ ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่า จากที่ผู้บริโภคนำใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจากรพ.เอกชนแห่งหนึ่งมาร้องเรียนที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งเมื่อเข้ารักษาตัวในรพ.เอกชน 1 ครั้งจะต้องมีค่าเวชภัณฑ์ พบการคิดราคาเวชภัณฑ์สูงเกินจริงมาก ยกตัวอย่าง 4 ชนิด เปรียบเทียบระหว่างราคาท้องตลาดและราคาในรพ.เอกชนแห่งนี้
- ค่าน้ำเกลือ 1000 มิลลิลิตร ที่ฉีดเข้าเส้นเลือด ราคาท้องตลาด 45 บาท อัปราคาเป็น 919 บาท ห่างกัน 800 กว่าบาท คิดเป็น 1900 %
- ค่าพลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 เซนติเมตร ราคาท้องตลาดแพ็คละ 10 แผ่นมีราคาเพียง 250 บาท หรือประมาณ 25 บาทต่อแผ่น อัปราคาเป็น 224 บาทต่อแผ่น ต่างกันเกือบ 200 บาท คิดเป็น 700 %
- ค่าถุงมือยางทางการแพทย์ ราคาท้องตลาด 2.5 บาท อัปเป็น 17 บาท ต่างกัน 14.5 บาท คิดเป็น 580 %
- ค่าสำลีก้อนขนาด 0.35 กรัม ราคาท้องตลาด0.10 บาทต่อก้อน อัปเป็น 7 บาทต่อก้อน ต่างกันกว่า 6 บาท คิดเป็น 6,900 %
จี้พาณิชย์คุมค่ารักษาพยาบาล แต่ไร้ผล
ที่ผ่านมา สภาองค์กรของผู้บริโภคพยายามผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามากำกับควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ของรพ.เอกชน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยได้รับคำตอบว่าไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม ไม่ได้อยู่ในส่วนของการควบคุมในลักษณะยาในโรงพยาบาล
“การแก้ปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ทำไมไม่แก้ที่ต้นทางว่ามาจากไหน ทำไมไม่มีการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ของรพ.เอกชนที่แพงเกินจริง แทนที่จะมาผลักภาระให้ผู้บริโภค"
ทั้งนี้ ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการคิดค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินจริง สามารถเก็บใบเสร็จและหลักฐานต่างๆร้องเรียนได้ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค โทร. 1502 เพื่อรวบรวมข้อมูลและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป
คปภ.-สภาผู้บริโภคหารือคุมราคา
ขณะที่ อาภากร ปานเลิศ องเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ด้านกำกับธุรกิจประกันภัย กล่าวว่า การปรับปรุงหลักเกณฑ์การเก็บค่ารักษาพยาบาลร่วม ได้มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รอบด้าน โดยหลักเกณฑ์ที่ออกมานั้นไม่เพียงแต่เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวม เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการถูกปฏิเสธต่ออายุประกันสุขภาพของผู้เอาประกันภัยที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมสูง
อย่างไรก็ตาม คปภ. พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงว่า ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมาตรการ Copayment ส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้บริโภคอันมาจากการเสนอข้อมูลและชักจูงการขายของตัวแทนประกันภัย โดยย้ำว่า Copayment ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาเมื่อครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ถูกบังคับใช้กับทุกกรมธรรม์ แต่เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในการทำประกันสุขภาพ
“คปภ. และสภาผู้บริโภคจะร่วมกันหารือเกี่ยวกับการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ เพื่อป้องกันการตั้งราคาสูงเกินจริง และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน”