เปิดกลไกการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม อย่างยั่งยืน
สอวช.เปิดเวทีแบ่งปันแนวทางสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม มุ่งเน้นผสานการทำงานร่วมกันเพื่อตอบโจทย์สำคัญของประเทศ ผ่านแรงขับเคลื่อน 3 พลัง ทั้งพลังจากความรู้ ประชาชน และอำนาจ
‘วิสาหกิจเพื่อสังคม’ (Social Enterprise) มีการดำเนินงานที่มีเป้าหมายทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นตัวขับเคลื่อน (Mission Motive) โดยที่ยังต้องมีความสามารในการสร้างกำไรเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเพื่อสังคมได้อย่างยั่งยืนทางธุรกิจ (Profit-making Motive) มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้ถือหุ้นของกิจการ(Stakeholder and Shareholder Accountability) รวมถึงต้องนำรายได้กลับมาลงทุน ในเป้าหมายทางสังคมและต้นทุนการดำเนินงานของกิจการ
ฉะนั้น ‘วิสาหกิจเพื่อสังคม’ จึงเป็นรูปแบบขององค์กรที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สามารถริเริ่มขึ้นได้จากภาคส่วนของตนเอง โดยเติมมิติของการตอบโจทย์สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับความยั่งยืนทางด้านการเงินขององค์กร มีการนำรายได้และกำไรกลับมาหมุนเวียนเพื่อตอบภารกิจขององค์กร
สมุดปกขาว 'กลไกการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม(Social Enterprise)' เพื่อสร้างความยั่งยืน ด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดทำโดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ปักหมุด! 20 สุดยอด “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ทุนวัฒนธรรม เพิ่มรายได้
อพท. ผลักดันคนรุ่นใหม่และชุมชนต้นแบบ สู่ผู้ประกอบการ “วิสาหกิจเพื่อสังคม”
3 โจทย์ใหญ่ สร้างกลไกนวัตกรรมทางความคิด-การจัดการ
การที่ประเทศมีองค์กรในรูปแบบหรือภารกิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีคุณภาพจำนวนมาก จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน ท้องถิ่นและประเทศโดยรวม เนื่องจาก องค์กรแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมจะปรับเปลี่ยนและมีพลวัตไปพร้อมกับปัญหา
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า โจทย์สำคัญของประเทศไทย ที่ต้องใช้กลไกนวัตกรรมทางความคิด นวัตกรรมทางการจัดการ และที่สำคัญต้องตอบโจทย์ว่า ประชาชนหรือชาวบ้านจะได้อะไร จึงเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ สอวช. ริเริ่มให้มีการศึกษาวิจัยเรื่องวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) สำหรับประเทศไทย การจะขยับให้ประเทศก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ต้องคำนึงถึง 3 โจทย์สำคัญ ได้แก่
1) การเพิ่มรายได้ เพื่อนำเอาประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งปัจจุบันรายได้ของเราอยู่ที่ 7,500 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ต้องเพิ่มให้อยู่ที่ 12,500 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี รวมถึงเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี จากประมาณ 17 ล้านล้านบาท ให้เป็น 28 ล้านล้านบาท จึงจะสามารถยกฐานะของประเทศขึ้นได้
2) โจทย์ในเรื่องของช่องว่าง ความไม่เท่ากันของคนในประเทศ เป็นโจทย์ที่ สอวช. ใช้คำว่า Social Mobility เป็นการยกระดับประชากรกลุ่มฐานรากขึ้นมา ให้มาอยู่ในสัดส่วนประชากรส่วนกลางของพีระมิด ทำให้ฐานพีระมิดแคบลง ซึ่งการพัฒนากลุ่ม SE จะเป็นส่วนช่วยแก้ไขปัญหาในโจทย์นี้ได้ด้วย
3) โจทย์ในเรื่องความยั่งยืน มีโจทย์สากล คือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องในหลายส่วน ตั้งแต่การค้า การลงทุน การส่งออกของบริษัทขนาดใหญ่ ลงไปจนถึงกลุ่มคนที่ผลิตวัตถุดิบต้นน้ำ
พลังขับเคลื่อน เพิ่มขีดความสามารถ ช่วยประเทศก้าวหน้า
หากสามารถแก้โจทย์ทั้ง 3 ข้อนี้ได้ จะช่วยให้ประเทศไทยขยับขึ้นได้ในระดับหนึ่ง และอีกส่วนที่สำคัญที่จะทำให้กลุ่ม SE เข้ามาเป็นหนึ่งในกลไกช่วยแก้โจทย์เหล่านี้ได้ คือการเชื่อมโยงกับแนวคิดทฤษฎีแรงขับเคลื่อน 3 อย่าง ซึ่งประกอบด้วย
1) พลังของความรู้
2) พลังของประชาชน ชาวบ้าน คนในท้องถิ่น รวมถึงประชาคม ชุมชน ที่มีพลังสูงมาก
3) อำนาจของรัฐ
ซึ่งเราต้องใช้อำนาจทั้ง 3 ส่วนขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ไม่สามารถใช้อำนาจเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ในส่วนอำนาจของรัฐ จะต้องมีองค์ประกอบที่ดี มีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล ต้องมีขีดความสามารถ ในการออกแบบ ทำกลไก ที่จะทำให้วิสัยทัศน์บรรลุผลได้ รวมถึงต้องมีความตั้งใจ ความมุ่งมั่น ที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่วางเป้าหมายเอาไว้ด้วย อีกทั้ง ต้องอาศัยพลังความรู้ และพลังจากประชาชน ทั้งในเรื่องของภูมิปัญญา กำลังในการขับเคลื่อน รวมเป็นกลไกที่ผสมผสานกันให้เกิดการขับเคลื่อนให้เกิดผลสำเร็จ
ในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีเครื่องมือมากมาย ที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนทั้งกลุ่ม SE และนำไปสู่การตอบโจทย์สำคัญของประเทศได้ เช่น การบ่มเพาะธุรกิจ เรามีศูนย์บ่มเพาะหลายแห่ง และยังมีการเชื่อมโยงกับอุทยานวิทยาศาสตร์ เชื่อมต่อไปยังมหาวิทยาลัยด้วย ในส่วนของการให้ทุน
หนุนผู้ประกอบการ ชุมชน กลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน
กระทรวง อว. มีหน่วยให้ทุนหลายหน่วยที่เรียกรวมกันว่า PMUs ที่กลุ่ม SE สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูล เพื่อดึงเข้ามาเป็นส่วนช่วยสนับสนุนการประกอบธุรกิจได้ อีกมุมหนึ่ง คือการสนับสนุนเรื่อง Know-How การทำเทคโนโลยี การทำวิจัย ที่สามารถนำองค์ความรู้ที่มีไปปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานสำหรับผู้ประกอบการ เช่น โรงงานต้นแบบ ไว้ให้โรงงานขนาดเล็กนำไปใช้เป็นแนวทางได้ และส่วนสุดท้ายคือการพัฒนาบุคลากร มี Talent Mobility เป็นแนวทางส่งเสริมให้บุคลากรมหาวิทยาลัย หรือบุคลากรในหน่วยงานรัฐเข้าไปช่วยสถานประกอบการ หรือเป็นที่ปรึกษาเรื่องเทคโนโลยีการจัดการในพื้นที่ต่างๆ ด้วย
ในงานได้มีการนำเสนอผลการศึกษาที่ได้จากสมุดปกขาวฯ โดยเนื้อหาสาระที่ได้ เกิดจากการเรียนรู้นโยบายผ่านกระบวนการ Policy Lab เป็นกลไกสำคัญศึกษาเส้นทางวิสาหกิจ จากการกลั่นความคิด การมองปัญหาและหาโอกาสของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ตลอดจนการระดมสมองเพื่อออกแบบนโยบายของกลุ่มภาคีวิสาหกิจที่เข้าร่วม ซึ่งจะช่วยในการเติมเต็มความรู้ พัฒนากลไก และต่อยอดนโยบายให้เกิดการใช้จริง
โดยความคาดหวังในการจัดทำสมุดปกขาวฯ ฉบับนี้ คือการช่วยลดข้อจำกัด อุปสรรคของการดำเนินงาน และพลิกโฉมการพัฒนาธุรกิจและยกระดับครัวเรือน มุ่งให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนท้องถิ่นเป็นสำคัญ
ดังนั้น การดำเนินงานและความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่าย ทั้งภาคเอกชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการหาแนวทางในการดำเนินนโยบาย เพื่อฟื้นคืนเศรษฐกิจและเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของภาคประชาสังคม มุ่งให้เกิดปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ประชากรไทยยืนอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ ยังได้มีการเวทีเสวนา 'ปลดล็อกศักยภาพวิสาหกิจเพื่อสังคม : จุดประกายความคิดเพื่อผลกระทบที่ยั่งยืน'โดยมีนางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็น จาก 'จุดเริ่มต้น' สู่ 'ผลกระทบทางสังคม' (From Start to Social Impact) เผยให้เห็นแนวทางการเข้าสู่การประกอบธุรกิจเพื่อสังคม รวมถึงแนวทางการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม
นายจิรศักดิ์ สุยาคำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนา SME และ Startup ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พูดคุยในประเด็น ร่วมทลายอุปสรรค : การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาดสำหรับกิจการเพื่อสังคมที่ยั่งยืน (Breaking Barriers: Accessing Finance and Market for Sustainable Social Enterprises) ได้แลกเปลี่ยนถึงแนวทางการสนับสนุนทางด้านการเงินให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน
ดร.กาญจนา วานิชกร นักยุทธศาสตร์ระดับสูง สอวช. แบ่งปันข้อมูลในประเด็น สร้างผลกระทบทางสังคมผ่านพลังแห่ง อววน. : บ่มเพาะ นวัตกรรม และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Driving Social Impact) โดยได้ชี้ให้เห็นถึงมาตรการการขับเคลื่อนต่างๆ ที่ กระทรวง อว. สอวช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กระทรวงขับเคลื่อนอยู่ เช่น การ Empower ชุมชนสู่ผู้ประกอบการท้องถิ่นฐานนวัตกรรม การจัดทำแพลตฟอร์ม Local Enterprise กลไก E-Commercial and Innovation Park (ECIP) และ SME Innovation Park เชื่อมโยงผู้ประกอบการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมและขยายตลาด เป็นต้น
น.ส.พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ Founder & Managing Director, School of Changemakers ได้แบ่งปันประสบการณ์การทำงาน จากความหลงใหลสู่เป้าหมาย : การเดินทางของวิสาหกิจเพื่อสังคมชั้นนำ (From Passion to Purpose : The Journey of SE) โดยได้เล่าถึงแนวทางการบ่มเพาะผู้ประกอบการ SE ตั้งแต่ริเริ่มมองถึงปัญหา เก็บข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ปัญหา ไปจนถึงหาวิธีการแก้ไข
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคมและวิสาหกิจชุมชน ได้แก่ บริษัท แดรี่โฮม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด บริษัท โฟล์คชาร์ม จำกัด บริษัท คนกล้าคืนถิ่น (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด บริษัท ลิฟวิ่งวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และ วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตร I Love Flower โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดสมุดปกขาวฯ SE ได้ที่: https://www.nxpo.or.th/WhitePaper_SocialEnterprise_2023