ชีวิตคนกรุงเทพ ปลอดภัยแค่ไหนในการใช้ถนน
เชื่อหรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนตายด้วยอุบัติเหตุเป็นลำดับ 9 ของโลก และกรุงเทพมหานครก็จัดว่าเป็นเมืองที่บริหารจัดการความปลอดภัยในการใช้ถนนได้ยากมาก เพราะมีประชากรหนาแน่นมากที่สุด
นอกจากประชากรของกรุงเทพฯ เองกว่า 10 ล้านคนแล้วยังมีประชากรที่ไม่ได้ลงทะเบียน ส่วนใหญ่จะเป็นประชากรจากจังหวัดใกล้เคียงที่เดินทางเข้ามาทำงานอีกวันหนึ่ง ๆ จำนวนคนหลายล้านคน
นอกจากนี้ ยังมียานยนต์ที่จดทะเบียนอยู่ถึง 13 ล้านคัน โดยประมาณ 4.3 ล้านคันเป็นรถจักรยานยนต์ (กรมการขนส่งทางบก, 2567) ในขณะที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่ถนนน้อยคือประมาณร้อยละ 7 ของของพื้นที่ และมีพื้นที่ทางเท้าแค่ร้อยละ 1.44 ของพื้นที่ทั้งหมด!
กรุงเทพฯ มีคนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุประมาณ 800 - 900 คนต่อปี ก่อนปี 2563 กรุงเทพฯ ครองแชมป์จังหวัดที่มีอุบัติเหตุมากที่สุดถึง 6 ปีซ้อน
แม้ในตอนต้น กทม. จะมีเป้าหมายเป็นมหานครแห่งความปลอดภัยแล้วก็ตาม การวิเคราะห์ช่องว่างทางการบริหารจัดการที่เป็นอุปสรรคต่อการลดอุบัติเหตุใน กทม. พบว่า (1) หน่วยงานของรัฐทำงานแยกส่วน (2) ขาดการสะสมความเชี่ยวชาญภายใน กทม. (3) ขาดการสอบสวนสาเหตุเชิงลึก และ (4) ขาดการประเมินผล
เมื่อผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ามารับไม้ต่อก็มีนโยบายเกี่ยวกับความปลอดภัย 2 ข้อคือ 1) เดินทางดี 2) ปลอดภัยดี เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุในกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยมุ่งที่จะลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงครึ่งหนึ่งเป็น 12 คนต่อประชากรแสนคนในปี 2570 ใช้ Safe System Approach ที่ประกอบด้วยการดูแล 5 เสาหลักคือ (1) ผู้ใช้ถนน (2) ยานพาหนะ (3) ความเร็วที่ปลอดภัย (4) ถนนและข้างทางที่ปลอดภัย (5) การดูแลหลังการชนที่ปลอดภัย
การศึกษาของโครงการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ผู้ใช้จักรยานยนต์ปลอดภัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนโครงการจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ถึงแม้จะยังมีการถ่ายโอนภารกิจด้านความปลอดภัยทางถนนมาให้ กทม. ไม่มากนัก แต่ กทม. ก็ได้สร้างกลไกภายในและภายนอก สร้างศูนย์ความปลอดภัยทางถนนทั้งในระดับเขต (ศปภ. เขต)
ซึ่งมีผู้อำนวยการเขตเป็นประธาน มีเทศกิจซึ่งเปรียบเสมือนตำรวจท้องถิ่นเป็นเลขานุการฯ มีตัวแทนจากสถานีตำรวจในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรมทางหลวง กรมการขนส่งทางบกโดยมี ศปถ.เขต เป็นเจ้าภาพในระดับพื้นที่ และระดับ กทม. ที่มีเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการในหน่วยราชการ
และภาคประชาชนที่มีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยมาเป็นกรรมการในคณะกรรมการร่วมภาคภาคีความปลอดภัยและภาคประชาชนในพื้นที่ ภาคีสามารถแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และแยกไปทำงานให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน
กลยุทธ์หนึ่งของการแสวงหาวิธีการการลดอุบัติเหตุของ กทม. ตั้งแต่ปี 2565 ก็คือการหาจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุและหาหนทางแก้ไข
ทั้งนี้ ศปภ. เขต มีหน้าที่สำรวจรวบรวมข้อมูลและจัดทำแผนที่จุดเสี่ยงสำหรับแต่ละเขต สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (สจส.) จากส่วนกลางเป็นโค้ชเพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญให้แก่ทีมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เขต โดยกำหนดรูปแบบการเก็บข้อมูลเพื่อหาจุดเสี่ยง เพื่อที่จะสร้างแผนที่ความเสี่ยง (heat map)
เมื่อได้จุดเสี่ยงแล้วก็จัดประชุมคณะกรรมการฯ ร่วมกับภาคีที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในแต่ละเขต เพื่อมาหารือ วิเคราะห์จุดเสี่ยงแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันและหารือเรื่องวิธีการแก้ไข เมื่อได้มติที่ประชุมแล้วแต่ละภาคีก็นำมติไปแก้ปัญหาความเสี่ยงตามภารกิจของตน นับว่าสามารถบูรณาการการทำงานได้ในพื้นที่ได้ในระดับหนึ่ง
เนื่องจากแนวทางการบริหาร กทม. ปัจจุบันคือ “ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการ” และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาช่วย “ทำน้อยแต่ได้มาก” จึงปรับวิธีหาจุดเสี่ยงโดยให้สำนักงานจราจรและขนส่ง กทม.เป็นผู้วิเคราะห์จุดเสี่ยงจากข้อมูลบิ๊กดาต้า (BMA open data)
เมื่อวิเคราะห์แล้วก็เลือกจุดที่เสี่ยงมากมา 100 จุดแรกก่อนเพื่อแก้ไข แล้วนำข้อมูลนี้ไปมอบให้แต่ละเขตไปจัดการ หากเขตไหนไม่มีจุดเสี่ยงก็ให้ขยายลำดับ 100 จุดเสี่ยงแรกไปจนกระทั่งทุกเขตมีจุดเสี่ยงที่ต้องไปดูแล
หลังจากนั้นจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการฯ ร่วมกับภาคีต่าง ๆ ผนึกกำลังร่วมแก้ไขจุดเสี่ยงโดยมีความร่วมมือจากภาคประชาชน และจะมีทีมเข้าไปประเมินผล โดยให้ ศปถ.เขต ร่วมกับสถานีตำรวจดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน
อีกความพยายามหนึ่งก็คือได้มีการลดความเร็วไปแล้ว 40 เส้นทางในกทม. งานลำดับถัดไปที่กำลังพัฒนาคือ ให้แต่ละเขตมีถนนติดดาวเขตละ 1 ถนน ถนนติดดาวก็คือถนนที่มีมาตรฐานสากล (iRAP) จัดลำดับถนนติดดาวตั้งแต่ 1 ดาวไปจนถึง 5 ดาวซึ่งเป็นลำดับสูงสุด
ถ้าได้ลำดับ 5 ดาวหมายความว่า การเดินทางทุกประเภทจะปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น คนเดินถนน รถจักรยานยนต์ และรถยนต์ โดยถนน 4 ดาวขึ้นไปถือว่าได้มาตรฐานสากลแล้ว กทม.ได้นำแนวคิดนี้มาประเมินถนนที่สำคัญในเขตเมือง ตั้งตัวชี้วัดคือ 1 เขตมีถนน 3 ดาว 1 ถนน สำหรับ กทม. ส่วนกลางมีเป้าหมายที่สูงกว่าคือ ทำถนนรัชดาภิเษกซึ่งเป็นถนนวงแหวนมีความยาว 50.3 กิโลเมตรให้เป็นถนนติดดาวระดับสากลโดยเริ่มที่ 3 ดาว
นอกจากนี้ ยังสร้างเยาวชนชุมชนรักษาความปลอดภัย ห่วงใยลูกหลาน ต้านอุบัติเหตุ ขยายผลการทำงานระดับชุมชน จัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของชุมชนใน 6 ชุมชนนำร่อง และทำการประมวลผลการดำเนินงานจัดทำคู่มือฉบับเยาวชนและคู่มือชุมชน
อีกหนึ่งในนวัตกรรมที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติใช้ในการสร้างเมืองน่าอยู่คือการใช้ ทราฟฟี ฟองดู (Traffy Fondue) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันซึ่งประชาชนใน กทม. สามารถเข้าไปร้องเรียนหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องการให้แก้ไขในชุมชน และปัญหาที่ต้องการให้แก้ไขนี้จะถูกกระจายไปในแต่ละเขตโดยทันที ไม่ต้องผ่านขั้นตอนอนุมัติต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาตรงจุดและตรงกับความต้องการของประชาชน และย่นเวลามากขึ้น
ตั้งแต่นำทราฟฟี ฟองดู มาใช้ ยังไม่ครบ 2 ปีมีผู้ร้องเรียนมาแล้วกว่า 5 แสนรายการ และได้จัดการแก้ไขไปแล้วกว่าร้อยละ 80 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด และความเร็วในการแก้ไขปัญหาก็เร็วกว่าเดิมถึง 11 เท่า
หากได้รับการปรับปรุงทราฟฟี ฟองดูให้ประชาชนแจ้งจุดเสี่ยงหรือจุดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งทราฟฟี ฟองดูน่าจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะนำมาแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุใน กทม. ได้ด้วย
นับว่าชีวิตของคน กทม. เริ่มมีความปลอดภัยทางถนนมากขึ้นในระดับหนึ่ง!