เผยผลสำรวจเอเชีย-แปซิฟิก พบปัญหาภาวะ 'ดื้อโบ' เพิ่มขึ้น เหตุผู้บริโภคขาดความรู้ที่ถูกต้อง
ผลสำรวจเอเชีย-แปซิฟิกเผย ร้อยละ 81 ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่าประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซิน ลดลง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ขั้นต้นถึงภาวะ "ดื้อโบ" ขณะที่้ร้อยละ 66 พบปัญหารุนแรงขึ้นจากการรักษาที่ไม่ถูกวิธี
เมิร์ซ เอสเธติกส์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์สำหรับใช้ในคลินิกเสริมความงาม เผยผลการสำรวจระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เรื่องภาวะการดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน จำนวน 2 ชิ้น ซึ่งเมิร์ซ เอสเธติกส์ สนับสนุนให้จัดทำผลการสำรวจดังกล่าวครอบคลุมผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์และได้ถูกนำเสนอในเวทีเสวนาระดับนานาชาติของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม Aesthetic Council for Ethical use of Neurotoxin Delivery (ASCEND) และเวทีการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับโลกด้านแพทย์ผิวหนังและความงาม DASIL (Dermatology, Aesthetics, and Surgery International League) World Congress ครั้งที่ 12 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการโดย Frost & Sullivan เริ่มมีการเก็บข้อมูลภาคสนามสำหรับผู้บริโภคระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม 2567 จำนวน 2,588 คน จาก 9 เขตเศรษฐกิจเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย ซึ่งเป็นผู้เคยรับการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์โบทูลินัม ท็อกซิน ที่มีสิ่งแปลกปลอมอย่างน้อย 3 ครั้ง ส่วนการเก็บข้อมูลภาคสนามสำหรับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ จัดขึ้นระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน 2567 จำนวน 242 คนจาก 8 เขตเศรษฐกิจเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย
การสำรวจดังกล่าว เผยให้เห็นข้อมูลสำคัญเชิงลึกและข้อท้าทายเกี่ยวข้องกับการรักษาด้วย BoNT-A จากอัตราความชุก (prevalence) ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่า ประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซิน ลดลง และยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 81 (2) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79 ในปี 2564 และร้อยละ 69 ในปี 2561 โดยผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า พวกเขารู้สึกวิตกกังวล เศร้า และกังวลใจอันเป็นผลมาจากประสิทธิผลที่ลดลง
ผู้บริโภคจำนวนมากที่ทำการสำรวจ เผชิญกับผลการรักษาที่ลดลงและตระหนักถึงปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้เกิดผลดังกล่าว
- ร้อยละ 52 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจชี้ว่า เกิดจากภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน (2)
- ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจระบุว่าเป็นผลจากผลิตภัณฑ์โบทูลินัม ท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม (impurities) (2)
- ร้อยละ 45 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจอ้างถึงปริมาณสารที่ใช้ระหว่างการรักษา (2)
แม้จะตระหนักถึงปัญหานี้ แต่ร้อยละ 66 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจมีพฤติกรรมที่อาจทำให้ภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซินรุนแรงขึ้น เช่น การเพิ่มปริมาณสารในการรักษาหรือการรับบริการถี่ขึ้น (2)
ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคจำนวนมากที่เข้าร่วมการสำรวจอาจติดรูปแบบพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน หรือ ดื้อโบ และอาจส่งผลให้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องแย่ลงไปด้วย ในกรณีที่ประสิทธิผลลดลงเนื่องมาจากการดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน โดยการลดลงของประสิทธิผลในการรักษาด้วย BoNT-A เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่อาจบ่งชี้ถึงอุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซินเท่านั้น
ดร.นีม คอร์ดัฟ แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง FRACS และผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ RiverEnd Aesthetics รวมถึงผู้ดำเนินรายการในการอภิปรายของ ASCEND กล่าวว่า ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า คนไข้ที่เข้าร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าการรักษาด้วย BoNT-A สามารถนำไปสู่ภาวะดื้อต่อ BoNT-A ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง หนึ่งในวิธีการป้องกันคือการเลือกใช้ BoNT-A ที่มีความบริสุทธิ์สูง เนื่องจากมีตัวเลือก BoNT-A หลากหลายในตลาด จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเสริมความงามที่จะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าอะไรคือสูตร BoNT-A ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของความบริสุทธิ์ของท็อกซิน เพื่อลดความเสี่ยงในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซิน ทั้งในด้านความงามและการแพทย์ในระยะยาว
ในระหว่างการอภิปราย คณะผู้เชี่ยวชาญ ASCEND ได้นำเสนอบทความฉันทามติเรื่อง "นัยยะในโลกแห่งความเป็นจริงของภาวะการดื้อต่อ BoNT-A สำหรับผู้บริโภคและผู้ให้บริการด้านความงาม: ข้อมูลเชิงลึกจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นนำระดับนานาชาติ ASCEND" โดยมี ดร.คอร์ดัฟ เป็นผู้เขียนหลัก ซึ่งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน และบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลในการเลือกใช้สูตรโบทูลินัม ท็อกซินที่บริสุทธิ์ (5) สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงผลการสำรวจที่แสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 84 ของบุคลากรทางการแพทย์ยอมรับว่าสูตรโบทูลินัม ท็อกซินของแบรนด์ต่างๆ มีความแตกต่างกันและมีความบริสุทธิ์ต่างกัน และมากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยว่าการได้รับการรักษาด้วยสารท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอมเป็นประจำอาจส่งผลให้ร่างกายของคนไข้พัฒนาแอนติบอดีมายับยั้งการออกฤทธิ์ของ BoNT-A ได้ (6)
บทความฉันทามติฉบับนี้ยังสนับสนุนการนำแนวทางการคัดกรองมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อตรวจหากรณีที่ประสิทธิผลการรักษาของโบทูลินัม ท็อกซิน ลดลง เนื่องมาจากมีการสร้างแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ และสร้างหลักการทำงานที่เป็นมาตรฐาน (5) จากการสำรวจบุคลากรทางการแพทย์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้โบทูลินัม ท็อกซินอย่างปลอดภัยสำหรับคนไข้นั้นมีความสำคัญ (6) ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์มีวิธีการรับมือต่อประสิทธิผลการรักษาที่ลดลง รวมถึงการทำการทดสอบวินิจฉัย (ร้อยละ 47) การเปลี่ยนแบรนด์ (ร้อยละ 33) การทำการทดสอบคัดกรอง (ร้อยละ 27) หรือการแนะนำให้ยุติการรักษาทั้งหมด (ร้อยละ 24) (6)
นอกจากนั้น ยังระบุด้วยว่า บุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารอย่างทันท่วงทีเกี่ยวกับความเสี่ยงในการรักษาและการกำหนดความคาดหวังของคนไข้หลังจากมีการพูดคุยหารือกันในขั้นต้น นอกจากนี้ยังแนะนำว่าบุคลากรทางการแพทย์ควรจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการขอความยินยอมในการรักษา และควรบันทึกไว้ในเวชระเบียนอย่างชัดเจน (5)
ดร.เซียว ตั๊ก หวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ Radium Aesthetics ได้แบ่งปันกรณีศึกษาคนไข้จากสิงคโปร์ โดยกล่าวว่า ต้องใช้เวลา 3 ปี กว่าคนไข้จะเริ่มตอบสนองต่อการรักษา ด้วยโบทูลินัม ท็อกซิน อีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการแก้ไขเรื่องแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ได้ ในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายปี และในบางกรณีก็อาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ การป้องกันจึงมักจะดีกว่าการรักษา ตัวเลือกที่รอบคอบที่สุดคือ การเริ่มต้นรับการรักษาด้วยสูตรโบทูลินัม ท็อกซินที่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก
ทั้งนี้ การเลือกแบรนด์ BoNT-A ที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นการรักษานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสูตรโบทูลินัม ท็อกซิน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา รวมถึงความเสี่ยงที่จะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน และประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ BoNT-A ที่บริสุทธิ์ โดยสามารถอ่านบทความฉันทามติฉบับเต็มได้ คลิกที่นี่
ข้อมูลอ้างอิง :
- (1) Park JY, Sunga O, Wanitphakdeedecha R, Frevert J. Neurotoxin Impurities: A Review of Threats to Efficacy. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2020;8(1): e2627.
- (2) Based on a consumer market study conducted in 2024 on "Consumer Experience with Declining Treatment Effects" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 9 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Malaysia, Philippines, Singapore, South Korea, Taiwan and Thailand) and included 2,588 Botulinum toxin users from the ages of 21 to 55 years old.
- (3) Based on a consumer market study conducted in 2021 on "Consumer Experience with Declining Treatment Effects" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 8 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Singapore, South Korea, Philippines, Taiwan and Thailand) and included 2,441 Botulinum toxin users from the ages of 21 to 55 years old.
- (4) Based on a consumer market study conducted in 2018 on "Consumer Experience with Declining Treatment Effects" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 8 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Singapore, South Korea, Philippines, Taiwan and Thailand) and included 2,441 Botulinum toxin users from the ages of 21 to 55 years old
- (5) Corduff N, Park JY, Calderon PE, Choi H, Dingley M, Ho WWS, Martin MU, Suseno LS, Tseng FW, Vachiramon V, Wanitphakdeedecha R, Yu JNT. Real-world Implications of Botulinum Neurotoxin A Immunoresistance for Consumers and Aesthetic Practitioners: Insights from ASCEND Multidisciplinary Panel. Plast Reconstr Surg Glob Open. 2024;12(6): e5892.
- (6) Based on an aesthetics healthcare professionals market study conducted in 2024 on "HCPs Experience with Declining Treatment Effects Among Botulinum Toxin Users" by Merz Aesthetics in partnership with Frost & Sullivan across 8 Asia Pacific territories (Australia, Hong Kong, Indonesia, Philippines, Singapore, South Korea, Taiwan and Thailand) and included 242 aesthetic healthcare practitioners.