‘Narcissist’ คนหลงตัวเอง เจอคนใกล้ชิดเป็นแบบนี้ รับมือยังไง ?

“คนหลงตัวเอง” บางครั้งอาจสร้างความรำคาญให้คนรอบข้าง แต่แท้จริงแล้วพวกเขามีความเปราะบางทางจิตใจและความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากครอบครัว
แม้ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบ “หลงตัวเอง” หรือว่า Narcissist นั้นพบได้ค่อนข้างน้อย หากนับเฉพาะชาวอเมริกันก็พบเพียงแค่ 1-2% เท่านั้นจากการประมาณการ ซึ่งลักษณะที่สังเกตได้ชัดเจนของคนเหล่านี้ก็คือ มีความเย่อหยิ่ง แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ แต่ก็ขาดความเห็นอกเห็นใจ ชอบเอารัดเอาเปรียบ ก้าวร้าว และต้องการการยอมรับรวมถึงคำชื่นชมอยู่เสมอ
“เอมี บรูเนลล์” ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเตต ในฐานะนักวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านอาการหลงตัวเองกล่าวว่า “ในช่วงแรกเรามักจะถูกดึงดูดใจจากพวกคนหลงตัวเอง เพราะพวกเขามีเสน่ห์ เป็นคนสนุกสนานที่ดูกระตือรือร้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณสมบัติเชิงลบก็ปรากฏออกมาเรื่อยๆ”
เมื่อไม่นานมานี้ เอมี เขียนบทความเชิงวิชาการเกี่ยวกับวิธีการทำความเข้าใจ “อาการหลงตัวเอง” และวิธีการรับมือที่คนทั่วไปที่ต้องมีความสัมพันธ์กับคนประเภทนี้ เพื่อให้คนทั่วไปมีความเข้าใจในวิธีจัดการกับความสัมพันธ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
สังเกตอย่างไรว่าใครมีอาการหลงตัวเอง ?
ถ้าอ้างอิงตามที่เอมีอธิบายไว้ “คนหลงตัวเอง” ส่วนมากมักคิดว่าโลกควรหมุนรอบตัวพวกเขา แต่จริงๆ แล้วพวกเขาแต่ละคนก็ยังมีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ใช่แค่งานของเอมีเท่านั้น แต่ยังมีงานวิจัยจำนวนมากที่ตีพิมพ์ออกมาก่อนหน้านี้นานหลายสิบปีแล้ว ได้แบ่งอาการหลงตัวเองออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Agentic Narcissism (หลงตัวเองเพราะมองว่าฉลาดที่สุด เก่งที่สุด อยู่เหนือคนอื่น), Communal Narcissism (หลงตัวเองเพราะเชื่อว่าช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ฉันเป็นคนดีมีน้ำใจ), และ Vulnerable Narcissism (หลงตัวเองแต่มีความเปราะบาง)
จากทั้งหมด 3 ประเภท อาการหลงตัวเองแบบ “Agentic Narcissism” จะสังเกตได้ชัดเจนที่สุด เพราะคนเหล่านี้มักจะเชื่อในทัศนคติของตัวเองเสมอว่าดีที่สุด เริ่ดที่สุดไม่มีใครเทียบได้
อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดจากคนประเภทนี้ก็คือมองว่าตัวเองมีความสามารถและสติปัญญาเหนือกว่าคนอื่นมาก ทำให้มักจะดูถูกความสามารถและอุปนิสัยของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และสมาชิกในครอบครัว เพราะพวกเขาจะให้ความสำคัญกับสถานะและความชื่นชมมากกว่าความสนิทสนม ทำให้พวกเขาโปรโมตตัวเองอยู่ตลอดเวลาแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รวมถึงจินตนาการถึงอนาคตและโครงการที่ตัวเองคาดหวังอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ชอบแข่งขันกับคนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานที่มีความรู้สึกว่าพวกเขาเหนือกว่าตัวเอง
เอมีระบุว่า ถ้าลองถามคนหลงตัวเองเหล่านี้เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็มักจะตอบว่า เป็นคนเข้าสังคมเก่งและเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าไปถามคนที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาก็จะได้คำตอบอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ถ้าถามเพื่อนร่วมงานเขาก็อาจจะได้คำตอบว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกที่ค่อนข้างก้าวร้าว
กลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองมักจะแสวงหาความชื่นชมจากผู้อื่นด้วยการเริ่มจากการเอาใจใส่และช่วยเหลือผู้อื่นแบบเวอร์เกินขอบเขต บ่อยเกินไป หรือเสนอความช่วยเหลือในเวลาที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้มีใครร้องขอ แต่พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้มาจากความต้องการเสียสละเพื่อผู้อื่นจากใจจริง แต่มาจากความต้องการที่จะได้รับความรักและการชื่นชม
“คนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองมักจะชอบสร้างคุณค่าให้ตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีประโยชน์มากที่สุด ไม่มีใครทำอะไรดีได้มากเท่าพวกเขาอีกแล้ว” เอมีกล่าวถึงกลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง
ถึงคนเหล่านี้จะดูแย่ในสายตาหลายๆ คนในสังคม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่มีความเปราะบางมากเช่นกัน เพราะไม่มีความนับถือตัวเอง บ่อยครั้งก็รู้สึกอึดอัดกับสังคม ป้องกันตัวเอง วิตกกังวลและซึมเศร้า ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ส่งผลให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดจึงต้องพยายามต่อสู้ด้วยความเห็นแก่ตัว ความเย่อหยิ่ง การป้องกันตัวเอง และการเอาแต่ใจ
“ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองที่เปราะบางจะรู้สึกแย่กับตัวเอง พวกเขามักจะโกรธทุกครั้งที่ไม่ได้รับสิ่งที่คิดว่าควรได้รับ พวกเขาจึงมักจะแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับคนอื่น” นอกจากนี้เอมียังกล่าวต่อว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมคนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองที่เปราะบางจึงเป็นแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขามักเอาแต่ใจตัวเอง
อะไรที่ทำให้ใครบางคนหลงตัวเอง ?
สาเหตุของอาการหลงตัวเองจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของอาการ งานวิจัยบางชิ้น รวมถึงการศึกษาฝาแฝดในจีนเมื่อปี 2014 แสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมอาจมีส่วนกับบุคลิกภาพ เพราะดูเหมือนฝาแฝดจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์มากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ในส่วนการศึกษาวิจัยอื่นๆ ที่เปรียบเทียบเด็กที่รับเลี้ยงกับเด็กที่เกิดจากสายเลือดตามปกติก็ชี้ให้เห็นถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วยเช่นกัน เพราะเด็กทางสายเลือดจะแสดงพฤติกรรมของพ่อแม่ที่หลงตัวเองมากกว่าเด็กที่รับเลี้ยง
แม้ว่าการวิจัยเหล่านั้นยังไม่ชัดเจน แต่ก็ยังมีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าอาการหลงตัวเองเกิดจากพันธุกรรม แม้ว่าจะมีเพียงเล็กน้อยและยังมีความคลุมเครืออยู่บ้างก็ตาม
“ในครอบครัวเราไม่ได้มองแค่ยีนที่เหมือนกันเท่านั้น แต่ต้องมองไปที่พฤติกรรมที่ส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่นด้วย” เอมีอธิบายต่อด้วยว่าโดยทั่วไปแล้วนักวิจัยส่วนใหญ่ที่ศึกษาในสาขานี้จะมองไปที่ “การเลี้ยงดู” มากกว่า “ธรรมชาติ” หรือเรียกได้ว่าคนที่มีความคิดหลงตัวเองมักอ้างว่าพ่อแม่เป็นคนสร้างลักษณะนิสัยเหล่านั้นขึ้นมา
ตัวอย่างเช่นการที่พ่อแม่ชมเชยลูกมากเกินไปอาจทำให้ลูกเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความพิเศษมากกว่าคนอื่นจนเกินความเป็นจริง ทำให้ต้องการได้รับคำชื่นชมจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ ซึ่งการเลี้ยงลูกแบบนี้อาจทำให้ลูกที่เติบโตมามีความคิดที่บิดเบี้ยวในความสามารถของตัวเองมากเกินจริงอีกด้วย
สำหรับภาวะ “หลงตัวเองแบบเปราะบาง” เกิดขึ้นได้ในทางตรงข้าม คือ เกิดจากการที่พ่อแม่เพิกเฉยหรือดูถูก ดังนั้นการที่ไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ทำให้ลูกต้องมองหาความมั่นใจและการยอมรับจากที่อื่นเพื่อนำมาเสริมสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
โดยทั่วไปแล้วอาการหลงตัวเองจะไม่เหมือนกับอาการทางอารมณ์หรือทางจิตใจอื่นๆ เช่น คนที่กลัวแมงมุมก็เป็นคนที่ไม่ได้อยากจะกลัว หรือคนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็ไม่ได้อยากจะโศกเศร้ามากไปกว่านั้น แต่ว่าในทางกลับกันผู้ป่วยที่มี “อาการหลงตัวเอง” มักยึดติดกับความคิดที่ว่าตัวเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแม้จะรู้ว่าพฤติกรรมของตัวเองกำลังส่งผลเสียต่อตัวเองและคนรอบข้างก็ตาม
แต่ก็ยังมีงานวิจัยบางส่วนที่พบว่า “ภาวะหลงตัวเอง” สามารถปรับปรุงได้ จากการศึกษาในปี 2014 แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้ที่มีอาการหลงตัวเองแบบ Agentic Narcissism ถูกขอให้พูดในที่สาธารณะ กลายเป็นว่าคนเหล่านั้นมีพฤติกรรมหลงตัวเองน้อยลงในสถานการณ์จริงภายหลัง แม้ว่าผลจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม
การศึกษาเดียวกันนี้ยังแสดงให้เห็นการปรับปรุงที่คล้ายคลึงกันเมื่อขอให้ผู้ที่มีอาการหลงตัวเองนึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาแสดงความห่วงใย รัก และยอมรับผู้อื่น “สิ่งสำคัญคือต้องทำให้พวกเขาพูดหรือคิดในแง่ของคนอื่นมากขึ้น” เอมีระบุ
วิธีรับมือเมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนหลงตัวเอง
การรับมือกับพ่อแม่ คู่ครอง หรือบุคคลในความสัมพันธ์อื่นๆ ที่มีอาการหลงตัวเอง การบอกไปตามตรงถึงสิ่งที่อยากให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงก็อาจช่วยได้บ้าง แต่ควรเน้นย้ำว่าที่ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงเป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นมีความสำคัญกับเรา
ยกตัวอย่างการคุยกับคนในครอบครัว เช่น “แม่ หนูสนใจและให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ของเรามากและอยากให้แม่มีความสุข” หลังจากนั้นก็พยายามแสดงจุดยืนของตัวเองว่าต้องการให้พวกเขาปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง
ในส่วนของความสัมพันธ์แบบโรแมนติก การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนสำหรับพฤติกรรมที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้นั้นช่วยได้ แต่การพูดคุยกันอาจจะจบลงไม่ค่อยดีนัก เพราะคนที่มีภาวะหลงตัวเองจะตอบสนองอย่างรวดเร็วและมักทำตัวเป็นเหยื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรับมือกับคำติชมเชิงวิจารณ์ได้ดีมากนัก แต่หากเราแสดงท่าทีว่าใส่ใจอีกฝ่ายจริงๆ ก็อาจจะมีส่วนช่วยลดความรุนแรงลงได้บ้าง
และสำหรับปัญหาที่ใครหลายคนกำลังเผชิญอยู่ก็คือการมีเจ้านายที่หลงตัวเองที่อาจมีปัญหามากกว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว และเจ้านายบางคนอาจจะไม่ยอมรับในหน้าที่การงานของลูกน้องด้วย โดยคำแนะนำของเอมีก็คือ ให้คำนึงถึงเป้าหมายของคุณทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายหลงตัวเอง เช่น สิ่งสำคัญที่ได้รับจากการประชุม และอย่าเสียเวลาชีวิตไปกับพฤติกรรมที่ไม่ดีต่างๆ ที่เขาแสดงออกมา (แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน) หรืออาจแก้ไขด้วยการกำหนดวาระการประชุมให้ชัดเจนทุกครั้ง ว่าการประชุมครั้งนี้ต้องการอะไร และกำหนดว่าความคาดหวังที่ต้องการจะได้รับคืออะไรก็อาจจะพอช่วยได้
ตอนไหนควรบอกลาความสัมพันธ์กับคนหลงตัวเอง
ในแง่ของความสัมพันธ์แบบโรแมนติกวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการความสัมพันธ์กับคนหลงตัวเองก็คือการเลิกรา เพราะผลกระทบที่เกิดจากความหลงตัวเองมักจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ปลอดภัยซึ่งหมายถึงในด้านความรุนแรงด้วย แต่สำหรับบางคู่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะแยกทางกัน ซึ่งฝ่ายที่มีสภาพจิตใจปกติก็จำเป็นจะต้องทุ่มเทและพยายามรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากเช่นกัน
“หากคุณพยายามทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ จนรู้สึกท้อแท้และไม่มีใครมองเห็นความพยายามนั้น หรือจนถึงขั้นต้องพยายามเข้ารับการบำบัด จากการพยายามอยู่ร่วมกับคู่ครองของคุณ ก็อาจถึงเวลาต้องยุติความสัมพันธ์แล้ว” เอมีกล่าว
นอกจากนี้ปัญหาของคนที่ต้องเจอกับเจ้านายที่หลงตัวเองก็อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อคุณมีผลงานที่ดีแต่มีเจ้านายที่แย่ หมายความว่าแม้คุณจะชอบและมีความสุขกับงานที่ตัวเองทำแต่ก็ต้องอยู่ร่วมกับคนที่เกลียด ในกรณีนี้เอมีแนะนำว่าให้ลองประเมินว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีงานประเภทเดียวกันในองค์กรอื่น และหากเป็นไปได้ก็ให้รีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้
ท้ายที่สุดนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออย่าปล่อยให้ใครก็ตามที่คุณอยากให้พวกเขาออกจากชีวิตไปแล้วกลับเข้ามาอีก เพราะ “คนหลงตัวเอง” บางคนมักจะพยายามกลับมาอยู่ด้วยอีกครั้งด้วยความมั่นใจเพราะคิดว่าตัวเองมีความสำคัญหรือเป็นคนพิเศษ แต่ต้องจำไว้ว่าตัวคุณเองเป็นมีอำนาจตัดสินใจเพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น แม้บางครั้งการตัดคนเหล่านี้ออกจากชีวิตจะไม่ใช่เรื่องที่อยากทำก็ตาม
อ้างอิงข้อมูล : Time