5 เทคนิค เลือก 'เครื่องฟอกอากาศ' อย่างไร ในช่วงเผชิญ PM2.5

5 เทคนิค เลือก 'เครื่องฟอกอากาศ' อย่างไร ในช่วงเผชิญ PM2.5

ในช่วงที่อากาศเต็มไปด้วยฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ไอเท็มที่หลายคนกำลังพิจารณาเลือกซื้อ คือ เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งในปัจจุบัน มีหลากหลายยี่ห้อ และ คุณสมบัติแตกต่างกัน แล้วเราจะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับขนาดห้องและการใช้งาน

ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 เป็นภัยสิ่งแวดล้อม ที่คุกคามสุขภาพของประชาชน หากประชาชนได้รับ PM2.5 เข้าไปในร่างกาย จะทำให้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งมีผลทั้งในคนที่อยู่ในเมืองหลวงและชนบท

 

โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด เป็นต้น รวมทั้งผู้ที่ทำงานกลางแจ้งในช่วงที่มี PM2.5 สูง เช่น ตำรวจจราจร วินมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น

 

หลายคนจึงพยายามหาวิธีในการเฝ้าระวัง ดูแลป้องกันตนเอง และคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจาก PM2.5 และมีสุขภาพที่ดี และหนึ่งในไอเท็มที่เป็นเป้าหมายในช่วง PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาปกติ คือ เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายยี่ห้อในตลาด แล้วเราจะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับขนาดบ้าน ความต้องการใช้งาน และคุ้มค่าที่สุด 

 

5 เทคนิคเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ 

ที่ผ่านมา อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้เคย แนะนำเทคนิคการเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ 5 วิธี ดังนี้

 

1.สำรวจขนาดห้องก่อนซื้อ

พิจารณาขนาดของห้อง ว่าเครื่องที่เราจะซื้อมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศพอเพียงกับห้องของเราหรือไม่ เช่น ถ้าห้องขนาดใหญ่ ก็จำเป็นต้องซื้อเครื่องตัวใหญ่ เพราะถ้าใช้เครื่องตัวเล็กไป มันก็จะทำงานหนักและไม่สามารถลดฝุ่นลงถึงระดับที่ปลอดภัยได้ ในทางกลับกัน ถ้าห้องเล็ก แต่ซื้อเครื่องใหญ่ ก็จะทำให้เปลืองไฟ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

2.ความละเอียดของแผ่นกรอง เพียงพอหรือไม่

ดูชนิดของแผ่นกรองที่ให้มากับเครื่อง ว่ามีความละเอียดเพียงพอจะกรองฝุ่น PM2.5 หรือไม่ โดยแผ่นกรองระดับที่เหมาะสมที่สุดนั้นเรียกว่า เฮปป้า ฟิลเตอร์ (HEPA filter) จะดักจับฝุ่นละเอียดได้ในปริมาณมาก ในราคาที่ไม่แพงเกินไป 

 

ขณะที่บางยี่ห้อ อาจจะเป็นแผ่นกรองที่ความละเอียดต่ำกว่า อย่างระดับ EPA (เช่น รุ่น E10 E11 E12 ซึ่งไม่ดีเท่ากับเฮปป้า H13 H14) เพราะมีราคาถูกกว่าสามารถใช้การได้ แต่ต้องใช้เวลานานกว่าในการกำจัดฝุ่นจากในห้องนั้น เมื่อเทียบกับแผ่นกรองระดับเฮปป้า

 

3.ดูค่าแอร์โฟลว์ airflow และ ค่า CADR

สำรวจเสปกของเครื่อง โดยดู 2 ค่า คือ ค่าแอร์โฟลว์ airflow หรือค่าปริมาณอากาศที่ถูกดูดเข้าไปและปล่อยออกมาจากเครื่อง ถ้ามีค่าแอร์โฟลว์สูง หมายความว่าเครื่องฟอกอากาศนั้น มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้อย่างรวดเร็ว และค่า CADR ( Clean Air Delivery Rate) หรือค่าอัตราการให้อากาศที่สะอาดแล้วออกมาในหนึ่งหน่วยเวลา ยิ่งมีค่า CADR สูง เครื่องฟอกอากาศนั้นก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงด้วย

 

4.สำรวจความดังของเครื่อง

สำรวจว่าเครื่องฟอกอากาศ ทำงานเสียงดังแค่ไหน ยิ่งถ้าจะติดตั้งในห้องนอน ก็ควรเลือกเครื่องที่มีโหมดกลางคืน ที่ให้เสียงเงียบเป็นพิเศษ หรืออย่างน้อย ระดับเสียงที่เหมาะสมก็ไม่ควรเกิน 30 เดซิเบล 

 

5.ความประหยัดไฟ ราคาแผ่นกรอง

สำรวจว่าเครื่องฟอกอากาศ ประหยัดไฟแค่ไหน ราคาแผ่นกรองนั้นสูงหรือไม่ เพราะต้องมีการเปลี่ยนหลังจากใช้งานไปสักระยะ  มีฟังค์ชั่นอื่นๆ ช่วย เช่น มีตัวตรวจวัดปริมาณฝุ่น พวกลูกเล่นเรื่องตั้งเวลาเปิดปิด เวลารับประกัน ด้วยหรือไม่

 

 

เครื่องฟอกอากาศ ตั้งไว้ตรงไหนดี

นอกจากนี้ ในคู่มือฉบับประชาชน การเฝ้าระวัง PM2.5 อย่างไรให้ปลอดภัย โดย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ยังมีข้อแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกและการติดตั้ง เครื่องฟอกอากาศ ดังนี้ 

  • นำด้านหลังของเครื่องตั้งห่างจากผนัง 10 เซนติเมตร 
  • ไม่วางใต้แอร์ ใกล้หัวเตียง หรือหน้าห้องน้ำ
  • ควรเปลี่ยนแผ่นกรองตามระยะเวลาที่กำหนดหรือเมื่อมีการสะสมของฝุ่นมาก 
  • เครื่องต้องได้รับ มอก. ด้านความปลอดภัย

 

 

5 เทคนิค เลือก \'เครื่องฟอกอากาศ\' อย่างไร ในช่วงเผชิญ PM2.5

 

10 เครื่องกรองอากาศยอดนิยม

ทั้งนี้ หากใครยังนึกไม่ออกว่าจะซื้อยี่ห้อไหน เว็บไซต์ Priceza ได้รวบรวม 10 เครื่องฟอกอากาศยอดนิยมปี 2023 อากาศดี กรอง ฝุ่น PM 2.5 ได้ ดังนี้ 

1. Sharp รุ่น fp-j30ta 

เครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสำหรับห้องขนาด 23 ตร.ม. มาพร้อมกับระบบพลาสม่าคลัสเตอร์แบบเข้มข้น ที่คอยพ่นอนุภาคบวกและลบ เพื่อฆ่าเชื้อโรค เชื้อรา และแบคทีเรีย รวมทั้งไข้หวักนก H5N1 ในอากาศได้ อีกทั้งเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้ก็ยังใช้แผ่นกรองฝุ่น HEPA ที่สามารถดักจับฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน และประสิทธิภาพในการดักจับสูงถึง 99.97% 

  • ราคา 3,290 บาท

 

2. Xiaomi รุ่น air purifier 4 lite 

เหมาะอย่างยิ่งกับห้องขนาด 21-37 ตร.ม. ซึ่งการกรองอากาศของรุ่นนี้สามารถทำได้ถึง 360 องศา ด้วยการกรองคาร์บอนที่มากถึง 3 ชั้น ทำให้กรองฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนได้มากถึง 99.99% นอกจากนี้ ยังมีโหมด Sleep ที่ช่วยลดเสียงรบกวนในการทำงาน

  • ราคา3,499 บาท

 

3. Xiaomi รุ่น Mi Air Purifier Pro

เหมาะกับห้องขนาด 35-60 ตร.ม. สามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ 15000 ลิตรต่อนาที โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที นอกจากนี้ ก็ยังมีการใช้กรองอากาศมากถึง 3 ขั้นด้วยกัน ทำให้กรองฝุ่นอนุภาคเล็กได้มากถึง 99.99% เลยทีเดียว ในส่วนของการใช้งานก็มีหน้าจอแบบ OLED ที่คอยบอกสถานะในการทำงาน รวมทั้งความชื้นและอุณหภูมิต่างๆ 

  • ราคา 6,799 บาท

 

4. Philips รุ่น ac1215

เหมาะกับห้องขนาดตั้งแต่ 21-63 ตร.ม. โดยจะใช้ระบบฟอกอากาศจากเทคโนโลยี VITASHIELD ช่วยในการดักจับฝุ่นละอองจากเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก ที่ตรวจจับได้รวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถที่จะกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ตั้งแต่ PM2.5 ไปจนถึง PM0.02 และ Night Mode ที่ช่วยให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่โดยไม่มีเสียงและแสงจากเครื่องฟอกอากาศมารบกวน

  • ราคา 6,290 บาท

 

5. Hitachi รุ่น ep-a3000

เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาด 22-25 ตร.ม. คุณสมบัติที่น่าสนใจ คือ การใช้แผ่น EPA ในการกรองสารก่อภูมิแพ้ เหมาะสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย รวมทั้งยังมีคุณสมบัติในการฟอกอากาศ และขจัดกลิ่นที่รุนแรงได้

  • ราคา 2,050 บาท

 

6. Amway รุ่น atmosphere Sky

เหมาะกับห้องขนาดตั้งแต่ 30-50 ตร.ม. สามารถกรองฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ได้ทั้ง PM2.5 ไปจนถึง PM0.0024 อีกทั้ง ยังกำจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศได้มากกว่า 324 ชนิด และช่วยลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อย่างกลิ่นอาหาร หรือกลิ่นจากสัตว์เลี้ยง เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมดี ๆ ที่ช่วยในเรื่องของการกรองอากาศและกลิ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

  • ราคา 52,500 บาท

 

7. Electrolux รุ่น FA31-202GY

เหมาะสำหรับห้องขนาด 20-26 ตรม. ที่กรองอากาศพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นละออง PM1 2.5 และ 10 หน้าจอแสดงผล LED และใช้งานผ่านระบบสัมผัส และมีไฟแจ้งเตือนเปลี่ยนแผ่นกรอง สามารถกรองได้ทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก กลิ่น และสารพิษในอากาศที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพื่อคุณภาพอากาศภายในบ้านที่สะอาดและดีต่อสุขภาพ

  • ราคา 3,990 บาท

 

8. Hatari รุ่น ht-ap12

เหมาะสำหรับห้องขนาด 32 ตร.ม. สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ตั้งแต่ PM2.5 ไปจนถึง PM0.3 มีระบบฟอกอากาศแบบ Plasma ช่วยให้ได้อากาศที่บริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ สามารถใช้งานด้วยรีโมทคอนโทรล และระบบ Touch Screen

  • ราคา 4,888 บาท

 

9. Daikin รุ่น MCK55TVM6

เหมาะสำหรับห้องขนาด 41 ตร.ม. มีคุณสมบัติในการดักจับฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน โดยทำการดักจับได้กว่า 99.97% นอกจากนี้ ยังมีระบบฟอกอากาศภายนอกเครื่องอย่าง Active Plasma Lon และ ระบบที่ช่วยเพิ่มความชื้น Humidifier ที่ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องไม่แห้งจนเกินไป

  • ราคา13,950 บาท

 

10. Bwell รุ่น CF 8000

เหมาะกับการใช้งานในห้องเล็ก ๆ สามารถที่จะใช้งานบนรถยนต์ได้ มาพร้อมกับระบบฟอกอากาศแบบ 5 ขั้นตอน และมีแผ่นกรอง HEPA ที่ช่วยกรองฝุ่นขนาดเล็กได้มากที่สุด 0.1 ไมครอน รวมทั้ง การกรองขนสัตว์ กลิ่นไม่พึงประสงค์ ละอองเกสร และการฆ่าเชื้อไวรัสอีกด้วย

  • ราคา 2,990 บาท

 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลิก 

 

 

อ้างอิง : อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ , กรมอนามัย