นวัตกรรมช่วยผู้ป่วยติดเตียง คนไทยทำได้
ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงหรือเรียกว่ากลุ่มติดบ้านและติดเตียง ที่จําเป็นต้องได้รับการดูแลในระยะยาวทวีจํานวนมากขึ้น เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
จากการสํารวจผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ตามการคัดกรองความสามารถในการดําเนินชีวิตประจําวัน พบผู้สูงอายุติดเตียงร้อยละ 0.5-1 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กรมอนามัย,2565) ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะปัญหาแผลกดทับ ข้อติดแข็ง กล้ามเนื้อฝ่อลีบ
ปัญหาแผลกดทับ ข้อติดแข็ง กล้ามเนื้อฝ่อลีบอ่อนแรง เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก ส่งผลต่อทั้งตัวผู้ป่วยที่ต้องทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวด การติดเชื้อ ความวิตกกังวล รวมทั้งญาติและครอบครัวที่ต้องรับภาระดูแลด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
ค่าบริการดูแลผู้สูงอายุ อัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้สูงอายุติดเตียง 24 ชั่วโมงของสถานบริการต่างๆ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล อยู่ระหว่าง 16,000-40,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว
แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดได้บ่อยกับผู้ป่วยสูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง เป็นภาวะการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ผิวหนังบางลง เนื้อเยื่อสูญเสียความยืดหยุ่นจากการลดลงของการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังแท้ทำให้ความสามารถในการกระจายแรงกดทับลดลง จนเกิดเป็นแผลในที่สุด
ปัจจุบันมีนวัตกรรมเพื่อช่วยผู้ป่วยติดเตียง คือการพัฒนาเตียงผู้ป่วยที่อำนวยความสะดวกในการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยและลดภาระของผู้ดูแล ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560
ทีมนักวิจัยที่ใช้องค์ความรู้สหสาขาวิชาชีพทางด้านสุขภาพ ประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมมือกันภายใต้ภารกิจของศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการออกแบบและพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และมีการพัฒนาต่อเนื่องจนปัจจุบันเกิดเป็นนวัตกรรมเตียงพลิกตัว โดยใช้ระบบจอสัมผัสที่มีการติดตั้งระบบแจ้งเตือนการเกิดแผล ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการแพทย์ และได้รับอนุสิทธิบัตรแล้ว
การพัฒนาเตียงดังกล่าวเริ่มต้นจากเตียงพลิกตะแคงตัวแบบมือหมุน ซึ่งผลการวิจัยพบว่าอัตราการเกิดแผลกดทับลดลง ต่อมาได้พัฒนาเป็นเตียงพลิกตะแคงตัวโดยใช้ระบบไฟฟ้า ซึ่งได้รับอนุสิทธิบัตรและได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวดนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติที่กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
รวมทั้งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ผลการศึกษาพบว่านวัตกรรมที่สร้างขึ้นสามารถช่วยป้องกันการเกิดแผลและเพิ่มอัตราการหายของแผล รวมทั้งการช่วยลดภาระของผู้ดูแลได้
ในปี 2566 นี้ ทีมวิจัยมีโครงการที่จะพัฒนาชุดนวัตกรรมแบบใช้งานร่วมกับระบบ IOT (Internet of Things) ที่สามารถสื่อสารระหว่างเตียง ผู้ป่วย ผู้ดูแล และทีมสุขภาพ ในการช่วยส่งเสริมสุขภาพและเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายจากสภาวะของโรค ลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
เตียงพลิกตัวระบบอัตโนมัตินี้ เป็นเตียงที่ใช้ระบบจอสัมผัสควบคุม สามารถปรับระดับพลิกตะแคงตัวซ้ายและขวา ปรับให้หัวเตียงสูงและปรับข้อเข่างอได้ เป็นการพัฒนาเตียงจากการศึกษาบริบทการดูแลผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน และวิเคราะห์ความต้องการจริงๆ ของผู้ป่วย
นักวิจัยได้ศึกษาข้อดี ข้อด้อยของเตียงแต่ละชนิดที่ผ่านมาทั้งในเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผล เช่น ราคา วัสดุ ความแข็งแรงทนทาน ความเสี่ยง/อันตรายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อจัดการภาวะแทรกซ้อนที่เกิดบ่อยๆ ทั้งยังเปรียบเทียบอัตราการเกิดแผลกดทับกับเตียงผู้ป่วยปกติ ศึกษาความพึงพอใจของผู้ดูแล
(ปัจจุบันพบว่ากลุ่มผู้ดูแลเป็นผู้สูงอายุที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย/สูงอายุด้วยกันเองเพิ่มมากขึ้น จึงไม่มีแรงพอจะยกตัวผู้ป่วยพลิก) รวมทั้งเปรียบเทียบต้นทุนต่อวัน ที่รวมค่าเสียโอกาสของผู้ดูแลที่ต้องหยุดงานอยู่บ้าน พบว่าผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปในทิศทางที่ช่วยเพิ่มคุณภาพการดูแลทั้งระบบ
การทำงานของนักวิจัยในลักษณะสหสาขาวิชาชีพตามโครงการนี้ นำไปสู่นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพในสังคมไทย เป็นการจุดความหวัง ที่ประเทศไทยจะสามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพออกไปจำหน่ายในตลาดโลก หรือทดแทนการนำเข้า เป็นการสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์และสร้างประโยชน์สุขในเชิงสาธารณะได้เป็นอย่างดี
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในไทยที่ครอบคลุมทั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีมูลค่าราว 1.2% ของ GDP (อ้างอิงข้อมูลปี 2563) รายงานในปี พ.ศ. 2562 ระบุว่า
เงินลงทุนด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ของโลกในปี พ.ศ. 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า ปัจจุบันประเทศทั่วโลกต่างยอมรับและมีการนำนวัตกรรมด้าน Digital Health มาใช้กันมากขึ้น
ไม่เพียงเตียงพลิกตัวระบบอัตโนมัตินี้เท่านั้น ยังมีงานวิจัยและพัฒนาอื่นๆ ที่นำไปสู่นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วย เป็นความหวังที่สำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม และการรับมือกับสังคมสูงวัย รวมถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่รัฐควรให้การสนับสนุนอย่างเร่งด่วน เพราะคนไทยทำได้และทำให้เห็นแล้ว.