6 โรคหัวใจ ที่ควรรู้ เช็กอาการเสี่ยง ก่อนอันตรายถึงชีวิต
'โรคหัวใจ' เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั้งในเพศชายและหญิง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาพบผู้มีภาวะหัวใจวายทุกๆ 40 วินาที และทุกนาทีมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 คน สำหรับประเทศไทยพบแนวโน้มผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
Keypoint:
- โรคหัวใจสามารถเกิดได้ตั้งแต่อายุยังน้อยไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต อย่าง การสูบบุหรี่ หรือการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และพันธุกรรม ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคได้
- 6 โรคหัวใจ และอาการที่ทุกคนควรรู้ รวมทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งแต่ละโรคมีอาการและสาเหตุแตกต่างกันออกไป การตรวจรักษาย่อมเป็นไปตามโรค
- เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขาบวม และมีอาการวูบ หรือหน้ามืด สัญญาณเหล่านี้แล้วแสดงให้เห็นว่าเราอาจเป็นโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์
'โรคหัวใจ' เกิดจากปัจจัย ทั้งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เพศ อายุ กรรมพันธุ์ และปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย แม้โรคหัวใจจะเป็นอันตรายถึงกับชีวิต แต่ก็สามารถป้องกันได้โดยการปรับพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจ และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ
- เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ใจสั่น วูบบ่อย
- อายุที่มากขึ้น อวัยวะต่างๆ ย่อมเสื่อมไปตามสภาพ
- เบาหวาน ผู้ที่เป็นเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 2-4 เท่า
- ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตที่มากกว่า 140/90 มม./ปรอท จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปี จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนปกติ
- ไขมันในเลือดสูง
- ภาวะอ้วน ในผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 21 จะมีผลต่อสุขภาพหัวใจ และหาก BMI มากกว่า 30 แสดงว่าคุณเป็นโรคอ้วน และมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
รู้หรือไม่? อาการที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นสัญญาณเตือนและปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทำไม? 'โรคหัวใจ' ยิ่งอายุน้อย-วัยทำงานยิ่งเสี่ยง เช็กสัญญาณเตือนที่ควรรู้
เช็กโรคหัวใจ อาการแบบไหนที่เสี่ยง?
ข้อมูลจากโรงพยาบาลวิมุตอธิบายว่า โรคหัวใจสามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภทใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละโรคมีสาเหตุเกิดจากอะไร ลักษณะอาการเฉพาะและความผิดปกติที่สังเกตได้เป็นอย่างไร รวมถึงจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจได้อย่างไร?
โรคหัวใจ (Heart Disease) คือ โรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ แบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคลิ้นหัวใจ
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น
ปัจจุบัน อัตราการเสียชีวิตโรคหัวใจและหลอดเลือด มีสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 54,530 คน เฉลี่ยเสียชีวิตวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน
ประเภทของโรคหัวใจ เกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร ? สาเหตุของโรคหัวใจแต่ละชนิดแตกต่างกัน
1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
สาเหตุหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากผนังหลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพ หรือหนาตัวขึ้นจากการอุดตันของไขมันและเนื้อเยื่อ เป็นเหตุให้หลอดเลือดตีบ การไหลเวียนเลือดไปสู่หัวใจลดน้อยลงและหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ จนอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ ผู้ที่มีอายุมาก สูบบุหรี่จัด มีภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และไม่ออกกำลังกาย มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง
- อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ
- เหนื่อยง่าย
- จุก แน่น เจ็บแน่นหน้าอก โดยมักเป็นขณะออกแรง
- เสียดหรือแสบร้อนในบริเวณทรวงอก
- เหงื่อออก ใจสั่น เป็นลม อาจเป็นแบบฉับพลันและรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจวายได้
2. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
สาเหตุภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากการกำเนิดกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติในบางตำแหน่งในหัวใจ หรือมีจุดวงจรลัดไฟฟ้าเล็กๆ โดยสาเหตุมีทั้งจากความเสื่อมสภาพของร่างกายในผู้สูงอายุ ที่ทำให้หัวใจเต้นช้าลง กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง เบาหวาน และต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคหวัด ยาขยายหลอดลม ยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ
- อาการภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หัวใจเต้นช้าผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มึนงง ใจหวิว วูบ
- ความดันโลหิตต่ำและอาจเป็นลมหมดสติ
- ขณะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้ง/นาที
- หากเป็นเพียงเล็กน้อยจะเหนื่อยง่ายและหัวใจเต้นเร็วเท่านั้น
- หากมีอาการวูบ เป็นลม หมดสติ มีอาการใจสั่นอย่างรุนแรงหรือเหนื่อยมากควรพบแพทย์โดยเร็ว
3. โรคลิ้นหัวใจตีบและรั่ว
สาเหตุลิ้นหัวใจตีบและรั่ว เป็นได้ตั้งแต่ลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด จากโรคลิ้นหัวใจอักเสบรูห์มาติค ติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ หรือหินปูนเกาะที่ลิ้นหัวใจจนลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
- อาการลิ้นหัวใจตีบและรั่ว
- เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- บางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรง คล้ายกับ ผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
- ขาบวมทั้ง 2 ข้าง
- นอนราบไม่ได้ ต้องนอนศีรษะสูง
- ท้องอืดบวม
- มีวูบหน้ามืด จากลิ้นหัวใจตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
4. โรคหัวใจล้มเหลว
สาเหตุหัวใจล้มเหลว มีทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง โดยสาเหตุเฉียบพลัน มักเกิดจาก เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน มีหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง หรือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรง ส่วนกรณีแบบเรื้อรังนั้น เป็นได้จากเส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ที่ไม่ได้รับการรักษา การได้รับยาหรือสารเสพย์ติดบางชนิด เช่น ดื่มสุราต่อเนื่องในปริมาณมาก หรือ ยาเคมีบำบัดบางชนิด เป็นต้น
- อาการหัวใจล้มเหลว
- เหนื่อยง่ายตอนออกแรง
- ขาบวม
- นอนราบไม่ได้
- มีตื่นมาหอบเหนื่อยตอนกลางคืน
- อาจตรวจพบหัวใจโตและน้ำท่วมปอดร่วมด้วย
5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
สาเหตุหัวใจพิการแต่กำเนิด อาจมีสาเหตุมาจากทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติได้ตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์มารดา ด้วยการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) โดยสูติแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารก ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดจากการเจริญเติบโตของหัวใจขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดจากการมีรูรั่ว ที่ผนังกั้นภายในห้องหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบตันหรือรั่ว เป็นต้น
- อาการหัวใจพิการแต่กำเนิด
อาการหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็กเล็ก ที่สำคัญ คือ
- เหงื่อออกมากบริเวณศีรษะโดยอากาศไม่ร้อน
- ดูดนมนานกว่าปกติ
- ตัวเล็ก เลี้ยงไม่โต
- น้ำหนักไม่ค่อยขึ้น
อาการหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็กโตมัก มีอาการเหมือนผู้ใหญ่ เช่น
- หายใจหอบ
- เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย
- ต้องนอนศีรษะสูง
- เขียวบริเวณเยื่อบุบริเวณริมฝีปาก ลิ้น เยื่อบุตา หรือใต้เล็บ
- ใจสั่น
- เจ็บหน้าอก จะเป็นลม
วิธีตรวจสอบตัวเองว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่?
วิธีที่จะรู้ได้อย่างแน่นอนว่าตัวเราเป็นโรคหัวใจหรือไม่นั้น จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจจากแพทย์ ซึ่งจะวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจที่มีหลายวิธี ดังต่อไปนี้
- ซักประวัติ
อาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่น่าสงสัย รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
- ตรวจทุกระบบของร่างกาย รวมทั้งระบบหัวใจและหลอดเลือด
โดยการคลำชีพจร และจังหวะการเต้นของหัวใจ ฟังเสียงหัวใจ วัดความดันโลหิต
- ตรวจด้วยการเอกซเรย์ทรวงอก และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
การตรวจเอ็กซ์เรย์ทรวงอกจะทำให้เห็นเงาขนาดของหัวใจอย่างคร่าวๆ และเนื้อปอดเพื่อดูว่ามีลักษณะของน้ำท่วมปอด ที่เป็นเหตุจากหัวใจหรือไม่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จะเป็นการดูอัตราการเต้นหัวใจ และลักษณะคลื่นสัญญานไฟฟ้าที่ออกจากหัวใจ ว่ามีความผิดปกติ ของสัญญานไฟฟ้าหัวใจหรือไม่
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST)
เป็นการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและหัวใจ โดยการให้ผู้ป่วยเดินเร็วหรือวิ่งบนสายพาน เพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น โดยระหว่างการตรวจแพทย์จะทำการสังเกตอาการเหนื่อย แน่นหน้าอก ของผู้ป่วย และสังเกตคลื่นไฟฟ้าหัวใจผู้ป่วยขณะออกกำลังกาย ซึ่งสามารถพบความผิดปกติในกรณีผู้ป่วยมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดได้
- ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography)
เป็นการตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อดูโครงสร้างของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ การบีบตัวและการคลายตัวของหัวใจ ความดันในห้องหัวใจ และตรวจดูการทำงานของลิ้นหัวใจ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่
- ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CTA coronary)
เป็นการตรวจเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์เส้นเลือดหัวใจ โดยการฉีดสารทึบรังสีผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อวิเคราะห์หาเส้นเลือดที่ตีบตันจากการมีไขมันไปเกาะหลอดเลือดแดง รวมถึงปริมาณหินปูนหรือแคลเซียมในเส้นเลือดหัวใจ เพื่อใช้ในการทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในระยะยาวอีกด้วย
- การตรวจหัวใจด้วยภาพคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก หรือ Cardiac MRI
เป็นการตรวจหัวใจและหลอดเลือดวิธีใหม่อีกวิธีหนึ่ง โดยใช้เทคโนโลยี MRI จะทำให้เห็นโครงสร้างหัวใจได้ชัดเจน เห็นลักษณะการทำงาน และสามารถวัดปริมาณเลือดที่วิ่งไหลผ่านหัวใจห้องต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการตรวจโดยฉีดสารกระตุ้นเพื่อทำการทดสอบและตรวจดูเส้นเลือดหัวใจตีบ และมีการฉีดสารชนิดพิเศษเพิ่มเติม เพื่อดูรอยแผลเป็นในห้องหัวใจได้
- ตรวจฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ หรือ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ
แพทย์จะใช้สายสวนขนาดเล็ก ใส่เข้าไปตามหลอดเลือดแดงจากบริเวณข้อมือ ขาหนีบ หรือ ข้อพับแขนไปจนถึงจุดที่เป็นรูเปิดของหลอดเลือดโคโรนารีย์ ที่ไปเลี้ยงหัวใจทั้งห้องซ้ายและขวาแล้วจะใช้สารทึบรังสีเอกซเรย์ ฉีดเข้าทางสายสวนนั้น ไปที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อตรวจดูว่ามีการตีบแคบหรือตันของหลอดเลือดหรือไม่ รุนแรงมากน้อยขนาดไหน และที่ตำแหน่งใดบ้าง โดยหากพบว่ามีเส้นเลือดหัวใจตีบมาก แพทย์สามารถทำการใส่บอลลูนและขดลวด เพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจตีบได้เลยในหัตถการเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางเหมือนมีอะไรมาทับ ร้าวไปที่กราม แขน ไหล่ หรือลิ้นปี่ เจ็บแน่นหน้าอกที่สัมพันธ์กับการออกแรง หรือออกกำลังกาย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายขาบวม และมีอาการวูบ หรือหน้ามืด
พฤติกรรมการใช้ชีวิต อย่างการสูบบุหรี่ ซึ่งผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ชายที่สูบบุหรี่ และความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว ในผู้หญิงที่สูบบุหรี่ 3-5 มวน/วัน และในผู้ชายที่สูบบุหรี่ 6-9 มวน/วัน การสูบบุหรี่เพิ่มอัตราการตายจากโรคหัวใจถึง 300 %
การรับประทานอาหารไขมันสูง ในอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อวัวติดมัน เนื้อแกะ เนื้อหมู (รวมถึงเบคอนและแฮม) เนื้อไก่ที่มีหนัง ไขมันวัว (tallow) น้ำมันหมู ครีม เนย ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน หรือพร่องมันเนย เป็นสาเหตุของโรคหัวใจประมาณ 31 % ในประชากรโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าเราอาจจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ควรจะรีบพบพแพทย์
อ้างอิง: ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลวิมุต , โรงพยาบาลสมิติเวช