'อาหารอันตราย'ในร้านสะดวกซื้อ เสี่ยงทำร้ายสุขภาพ
การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา อาจจะส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยไม่สามารถรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือรับประทานอาหารให้ครบ 5หมู่ ในช่วงมื้อเช้า เที่ยง เย็นในแต่ละวันได้ ‘อาหาร’ ในร้านสะดวกซื้อ อาหารฟาสฟู้ด อาหารตามสั่ง จึงเป็นทางเลือก
Keypoint:
- You are what you eat คุณเป็นอย่างที่คุณกิน หรือหมายถึงสุขภาพของเราจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรากิน เพราะความเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดขึ้น อย่าง โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน หัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง โรคไต ฯลฯ ล้วนแต่เป็นโรคที่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก 'การกินที่ไม่ถูกต้อง'
- ด้วยการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน และอาหารที่มีให้เลือกมากมาย หลายคนมักจะเดินเข้าร้านสะดวกซื้อในการเลือกสรรอาหาร ทว่าในร้านสะดวกซื้อ มี 10 อาหารอันตรายที่ทุกคนควรรู้
- พฤติกรรม 'การกินอาหาร' ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว ย่อมป้องกันโรคได้
‘อาหาร’ในร้านสะดวกซื้อมีให้เลือกหลากหลาย แต่ใช่ว่าจะมีอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพียงอย่างเดียว ยังมีอาหารอันตรายที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายของผู้บริโภคได้
‘อาหารไม่ปลอดภัย (Food Insecure)’ เป็นอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอันตรายได้แก่ อาหารที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
- อาหารที่มีจุลินทรีย์ก่อโรคหรือสิ่งที่ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเจือปนอยู่
- อาหารที่มีสารหรือวัตถุเจือปกอยู่ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในปริมาณที่อาจเป็นเหตุให้เกิดอันตราย หรือสามารถสะสมในร่างกาย ที่ก่อให้เกิดโรค หรือผลกระทบต่อสุขภาพ
- อาหารที่ได้ผลิต ปรุง ประกอบ บรรจุขนส่ง หรือมีการเก็บรักษาไว้โดยไม่ถูกสุขลักษณะ
- อาหารที่ผลิตจากสัตว์หรือผลผลิตจากสัตว์ ที่เป็นโรคอันตรายอาจติดต่อถึงคนได้
- อาหารที่ผลิต ปรุง ประกอบจากสัตว์และพืชหรือผลผลิตจากสัตว์และพืชที่มีสารเคมีอันตราย เภสัชเคมีภัณฑ์หรือยาปฏิชีวนะตกค้างในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- อาหาร ที่มีภาชนะบรรจุประกอบด้วยวัตถุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ลดพุง ลดอ้วนอย่างไร? ให้ได้ผล เปิดอาหารสุขภาพ เสริมออกกำลังกาย
อันตรายในอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพ
อันตรายในอาหาร (Food Safety Hazards) อันตรายที่เกิดขึ้นจาก สารทางชีวภาพ เคมี หรือทางกายภาพที่มีอยู่ในอาหารโดยมีศักยภาพที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมา โดยสามารถแบ่งออกเป็น 1) อันตรายทางกายภาพ 2) อันตรายทางชีวภาพ 3) อันตรายทางเคมี (ซึ่งรวมอันตรายถึงสารก่อภูมิแพ้และสารกัมมันตรังสี)
1) อันตรายทางกายภาพ คือ วัตถุแปลกปลอมที่มีลักษณะแข็งหรือแหลม เช่น แก้ว พลาสติกแข็ง โลหะ ไม้ กวด เป็นต้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทิ่มแทง หรือเกิดปัญหาสุขภาพตามมา
2) อันตรายทางชีวภาพ คือ จุลินทรีย์ที่อาจก่อให้เกิดโรคหรือก่อเกิดอาการเจ็บป่วยตามมาหลังการรับประทาน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส พาราไซต์ รา โปรโตซัว พยาธิ เป็นต้น
3) อันตรายทางเคมี คือ อันตรายที่เกิดขึ้นจากสารเคมี ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพเมื่อเข้าสู่ร่างกาย เช่น สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ เช่น ฮีสตามีน Aflatoxin Mycotoxin เป็นต้น ยากำจัดศัตรูพืช สารเคมีทำความสะอาด สารหล่อลื่นเครื่องจักร วัตถุเจือปนอาหารไม่ได้ใช้ตามกฎหมายกำหนด สารก่อภูมิแพ้ในอาหาร สารกัมมันตภาพรังสี เป็นต้น
อันตรายทางอาหารเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวของผู้บริโภคเกินไป ตัวอย่างอันตรายทางอาหารเหล่านี้มีให้เราเห็นได้ทั่วไปตามข่าวทั้งในและนอกประเทศ บางคนก็เป็นผู้ประสบปัญหาเองด้วยซ้ำ การเข้าใจในเรื่องของอันตรายทางอาหารในรูปแบบต่างๆจะช่วยให้เราระมัดระวังเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพลดลง
10 อาหารอันตราย ในร้านสะดวกซื้อ
ขณะเดียวกันทางฝั่งของผู้ประกอบการหรือผู้ที่คิดจะประกอบการ การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ไว้จะส่งผลให้สามารถวางมาตรการป้องกันและควบคุมกระบวนการผลิตหรือทั้งห่วงโซ่อาหารเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายทางอาหารที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคผลิตภัณฑ์และอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการ
สำหรับ 10 อาหารอันตรายในร้านสะดวกซื้อ มีดังนี้
1.อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม
อันตรายจากน้ำตาลเทียม เป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากน้ำตาลเทียมเป็นสารให้ความหวานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะมีราคาถูก และให้รสชาติหวานใกล้เคียงกับน้ำตาล แต่น้ำตาลเทียมก็มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยอยู่เช่นกัน
จากข้อมูลที่คุณนำมาเสนอ อันตรายจากน้ำตาลเทียมที่พบบ่อย ได้แก่
- สารเคมีตกค้าง ก่อมะเร็ง
แอสปาแตมเป็นน้ำตาลเทียมชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ประกอบด้วยสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ กรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และเมธานอล กรดแอสปาร์ติกและฟีนิลอะลานีนเป็นกรดอะมิโนที่พบได้ในอาหารธรรมชาติ ส่วนเมธานอลเป็นสารพิษที่พบในไวน์ ผลไม้บางชนิด และผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิด
- สาเหตุโรคอ้วน และเบาหวานทางอ้อม
แอสปาแตมอาจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหารและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ นอกจากนี้ แอสปาแตมยังอาจทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
- เป็นสารอันตราย
งานวิจัยบางชิ้นพบว่าแอสปาแตมอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และอาการอื่นๆ แต่อาการข้างเคียงเหล่านี้มักไม่รุนแรงและหายไปเอง
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ
แอสปาแตมเป็นน้ำตาลเทียมที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะผ่านไปยังลำไส้ใหญ่และถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดแก๊สและอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้
- อันตรายต่อสมอง
กรดแอสปาร์ติก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของแอสปาแตม สามารถผ่านเข้าสู่เซลล์สมองได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ากรดแอสปาร์ติกก่อให้เกิดอันตรายต่อสมอง
สิ่งสำคัญคือควรลดการบริโภคน้ำตาลทุกชนิดลง เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด
2.โดนัท
อันตรายจากโดนัทที่สำคัญประการหนึ่งคือ ไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่เกิดจากการเติมไฮโดรเจนให้กับน้ำมันพืช ซึ่งทำให้น้ำมันมีสภาพคงตัวและสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไขมันทรานส์พบได้ในอาหารจำพวกของทอด อาหารแปรรูป และอาหารสำเร็จรูป โดนัทเป็นอาหารทอดที่มักใช้น้ำมันที่มีไขมันทรานส์สูง
ไขมันทรานส์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นไขมันที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย
นอกจากไขมันทรานส์แล้ว โดนัทยังมีน้ำตาลสูงอีกด้วย น้ำตาลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคโดนัทเป็นประจำ หากต้องการรับประทานโดนัท ก็ควรเลือกรับประทานโดนัทที่ทำจากน้ำมันที่มีไขมันทรานส์ต่ำ หรือเลือกรับประทานโดนัทที่มีน้ำตาลน้อย
3.เนยเทียม
กรมอนามัย ได้เตือนถึงอันตรายจากไขมันทรานส์ในเนยเทียมและเนยขาว ซึ่งพบได้ในอาหารฟาสต์ฟู้ด เบเกอรี่ และอาหารแปรรูปอื่นๆ ไขมันทรานส์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นไขมันที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย
นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
- เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์มากเกินไป หากต้องการรับประทานอาหารที่มีเนยเทียมหรือเนยขาว ก็ควรเลือกชนิดที่มีไขมันทรานส์ต่ำ หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์น้อยกว่า
4. Energe Drinks
เครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง ซึ่งคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
อันตรายจากเครื่องดื่มชูกำลังที่พบบ่อย ได้แก่
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด คาเฟอีนอาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบประสาท คาเฟอีนอาจทำให้รู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ ซึมเศร้า และวิตกกังวล
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร คาเฟอีนอาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และท้องร่วง
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไต คาเฟอีนอาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับกระดูก คาเฟอีนอาจทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
5. มันฝรั่งทอด
อันตรายจากมันฝรั่งทอดที่พบบ่อยที่สุดคือสารก่อมะเร็งอะคริลาไมด์ อะคริลาไมด์เป็นสารเคมีที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลและกรดอะมิโนที่พบได้ในอาหารทอดหรืออบด้วยความร้อนสูง พบได้ในมันฝรั่งทอด เฟรนช์ฟรายส์ ขนมขบเคี้ยวอื่นๆ และอาหารทอดอื่นๆ
อะคริลาไมด์เป็นสารก่อมะเร็งที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
นอกจากอะคริลาไมด์แล้ว มันฝรั่งทอดยังมีอันตรายอื่นๆ ได้แก่
- ไขมันสูง มันฝรั่งทอดมักมีไขมันสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย
- โซเดียมสูง มันฝรั่งทอดมักมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
- น้ำตาลสูง มันฝรั่งทอดบางชนิดมีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคมันฝรั่งทอดเป็นประจำ หากต้องการรับประทานมันฝรั่งทอด ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกรับประทานมันฝรั่งทอดที่มีไขมันต่ำ โซเดียมต่ำ และน้ำตาลต่ำ
6. ซีเรียล
ซีเรียลเป็นอาหารเช้ายอดนิยมที่มีให้เลือกหลากหลายประเภท แต่ก็มีอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน โดยข้อเสียของซีเรียลต่อสุขภาพ ได้แก่
- น้ำตาลสูง ซีเรียลส่วนใหญ่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
- แป้งขัดสี ซีเรียลบางชนิดทำจากแป้งขัดสี ซึ่งย่อยง่ายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นและนำไปสู่โรคอ้วนได้
- สารอาหารน้อย ซีเรียลบางชนิดมีสารอาหารน้อย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ ซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย
จึงควรเลือกบริโภคซีเรียลที่มีน้ำตาลและแป้งขัดสีต่ำ และควรเลือกซีเรียลที่มีสารอาหารครบถ้วน
7. น้ำมันพืช
น้ำมันพืชเป็นไขมันที่ได้จากพืช ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่หากบริโภคมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
อันตรายจากน้ำมันพืช ได้แก่
- โรคอ้วน น้ำมันพืชมีไขมันสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและนำไปสู่โรคอ้วนได้
- ภาวะไขมันในเลือดสูง น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ภาวะความดันโลหิตสูง น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีโซเดียมสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคหลอดเลือดสมอง น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
- มะเร็ง น้ำมันพืชที่ผ่านความร้อนสูง เช่น น้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำๆ อาจก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคข้ออักเสบ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม
ดังนั้น จึงควรบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกบริโภคน้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน
8. อาหารที่มีส่วนผสมที่ผ่านกระบวนการ GMO เช่น ซอสมะเขือเทศ
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (GMO) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มียีนถูกดัดแปลงโดยเทคโนโลยีการดัดแปรพันธุกรรม เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถย้ายยีนจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งหรือเปลี่ยนลำดับยีนที่มีอยู่ได้GMO สามารถใช้เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ผลผลิต ต้านทานโรค และต้านทานสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
แต่ทั้งนี้ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า GMO ก่อให้เกิดความปลอดภัย หรือ อันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ เพราะต่อให้การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า GMO ปลอดภัยต่อผู้บริโภค แต่การศึกษาบางชิ้นพบว่า GMO อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
หากกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ GMO สามารถเลือกหลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์จาก GMO ได้ โดยตรวจสอบฉลากสินค้าก่อนซื้อ หากฉลากระบุคำว่า 'GM' หรือ 'GE' แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีการดัดแปรพันธุกรรม
9. Deli meat (ไส้กรอก แฮม เบคอน)
อาหารประเภท Deli meat เป็นอาหารแปรรูปที่ทำจากเนื้อสัตว์ เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก ซาลามี่ และปาเต อาหารประเภทนี้มักมีไขมัน โซเดียม และสารกันบูดสูง
อันตรายจากอาหารประเภท Deli meat ได้แก่
- ไขมันสูง อาหารประเภท Deli meat มักมีไขมันสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ
- โซเดียมสูง อาหารประเภท Deli meat มักมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
- สารกันบูด อาหารประเภท Deli meat มักมีสารกันบูดเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
- นอกจากนี้ อาหารประเภท Deli meat ยังอาจปนเปื้อนด้วยเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อซัลโมเนลลา เชื้ออีโคไล และเชื้อ Listeria ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้
ดังนั้น จึงควรบริโภคอาหารประเภท Deli meat ในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกบริโภคอาหารประเภท Deli meat ที่มีไขมัน โซเดียม และสารกันบูดต่ำ
10. อาหารประเภท Non fat product เช่น โยเกิร์ต
อาหารที่ไม่มีไขมัน (non-fat product) เป็นอาหารที่มีการลดไขมันออกไปจากอาหารเดิม โดยกระบวนการต่างๆ เช่น การแยกไขมันออกจากอาหาร การเติมสารทดแทนไขมัน หรือการใช้ไขมันชนิดอื่นแทนไขมันเดิม เป็นต้น
อาหารที่ไม่มีไขมันมักถูกมองว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีแคลอรี่ต่ำและไขมันต่ำ แต่แท้จริงแล้ว อาหารที่ไม่มีไขมันก็มีอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน
- แคลอรี่ต่ำ อาหารที่ไม่มีไขมันมักมีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารมากขึ้น ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
- ไขมันต่ำ อาหารที่ไม่มีไขมันอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไขมันดี
- สารทดแทนไขมัน อาหารที่ไม่มีไขมันมักมีสารทดแทนไขมัน เช่น น้ำตาล แป้ง และไขมันทรานส์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวานชนิดที่ 2
นอกจากนี้ อาหารที่ไม่มีไขมันยังอาจทำให้รสชาติและเนื้อสัมผัสของอาหารเปลี่ยนไป ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคไม่ชอบรับประทาน ดังนั้น จึงควรบริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกบริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันที่มีสารอาหารครบถ้วน
อ้างอิง : Food Science and Technology Association of Thailand ,กรมอนามัย,มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค