ศูนย์จีโนม เผย 'ไข้หวัดใหญ่' ในไทยเสียชีวิต 2 - ไข้หวัดนก ในกัมพูชาเสียชีวิต 3

ศูนย์จีโนม เผย 'ไข้หวัดใหญ่' ในไทยเสียชีวิต 2 - ไข้หวัดนก ในกัมพูชาเสียชีวิต 3

ศูนย์จีโนม รพ.รามา เผย "ไข้หวัดใหญ่" ระบาดหนักในไทยเสียชีวิต 2 ขณะที่ "ไข้หวัดนก" ระบาดถี่ในกัมพูชาเสียชีวิตแล้ว 3

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล (รพ.)รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุ "ไข้หวัดใหญ่" ระบาดหนักในไทยเสียชีวิต 2, "ไข้หวัดนก" ระบาดถี่ในกัมพูชาเสียชีวิตแล้ว 3

ความกังวลที่ไวรัสไข้หวัดจะกลายพันธุ์และแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้หลายประเทศต้องรีบเร่งเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจติดตามทางห้องปฏิบัติการ, การป้องกันด้วยวัคซีน, และการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

ไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) มีทั้งหมด 3 สายพันธุ์หลัก คือ A, B และ C สายพันธุ์ A สามารถแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปได้ทั่วโลก บางสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์อาจก่อโรครุนแรงถึงชีวิต สายพันธุ์ A สามารถติดต่อในสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์ปีก, สุกร และคน สายพันธุ์ที่ติดต่อในคนเรียกว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ หากระบาดในสัตว์ปีกเรียกไวรัสไข้หวัดนก ส่วนสายพันธุ์ B ไม่พบการระบาดในสัตว์ใด ๆ นอกจากมนุษย์

สายพันธุ์ A สามารถแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ย่อย สายพันธุ์ย่อยที่ระบาดประจำในคนคือ H1N1 และ H3N2 ส่วนสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในสัตว์ปีกคือ H5N1

ทำไมบรรดานักวิจัยทั่วโลกกังวลกับไวรัสอินฟลูเอนซา สายพันธุ์ A โดยเฉพาะไวรัสไข้หวัดนกที่กำลังระบาดถี่ขึ้นในกัมพูชา

ศูนย์จีโนม เผย \'ไข้หวัดใหญ่\' ในไทยเสียชีวิต 2 - ไข้หวัดนก ในกัมพูชาเสียชีวิต 3

ไวรัสมรณะ-ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) เป็นไวรัสอินฟลูเอนซา สายพันธุ์A (H1N1) ที่ระบาดไปทั่วโลกเมื่อ 105 ปีที่แล้ว โดยนักวิจัยจากสถาบันพยาธิวิทยากองทัพสหรัฐ (AFIP) พบว่าไวรัสปี 1918 มีลักษณะจีโนมคล้ายกับไวรัสไข้หวัดนกอย่างมาก สรุปได้ว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปนเป็นไวรัสสายพันธุ์นกที่เข้าติดเชื้อมนุษย์โดยไม่ได้รับยีนใดๆ จากไวรัสไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์มาก่อน ทำให้มนุษย์สมัยนั้นไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปนเลยทำให้มีผู้ติดชื้อเสียชีวิตทั่วโลกกว่า 100 ล้านคน

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปน ต้องใช้เวลาปรับสมดุลระหว่างไวรัสและมนุษย์ (โฮส) ให้อยู่ร่วมกันได้ ใช้เวลานานถึง 2 ปี เริ่มระบาดในปี 1918 (พ.ศ.2461) สงบลงในปี 1920 (พ.ศ. 2463) มีประชากรทั่วโลกป่วยถึงร้อยละ 50 และเสียชีวิตกว่า 100 ล้านคน เป็นประชาชนไทยถึง 80,233 ราย(ประชากรไทยในขณะนั้นมีประมาณ 10 ล้านคน) จนกระทั้งเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และการคัดสรรสายพันธุ์ของไวรัสโดยธรรมชาติที่อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้

สายพันธุ์ B สามารถแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ย่อยได้เช่นกัน ในขณะที่สายพันธุ์ C ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแบ่งย่อยหรือซับไทป์ อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์ C มักไม่ทำให้เกิดโรครุนแรงหรือการระบาดทั่วไปเหมือนกับสายพันธุ์ A และ B การผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดนกจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัสที่ระบาดในแต่ละปี

ดังนั้น การฉีดวัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้

"H" และ "N" เป็นตัวอักษรที่ใช้เพื่อแสดงถึงส่วนหนาม(ไกลโคโปรตีน)บนบริเวณเปลือกนอกของอนุภาคไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก ได้แก่ ฮีแมกกลูตินิน/hemagglutinin (H) และ นิวรามินิเดส/neuraminidase ซึ่งไวรัสใช้จับกับเซลล์ของสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงมนุษย์ ส่งผลให้การติดเชื้อและความรุนแรงของไวรัส อีกทั้งเป็นเป้าหมายสำคัญในการผลิตวัคซีนในการสร้างภูมิคุ้มกันเข้าจับอนุภาคไวรัสและทำลาย

ประเทศไทยขณะนี้กำลังประสบกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรง โดยมีผู้ป่วยหลายหมื่นคนในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา สาธารณสุขไทยขอให้ทุกคนเพิ่มมาตรการป้องกัน และยังคงสวมหน้ากากอนามัย การระบาดนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในโรงเรียน ซึ่งได้นำไปสู่การเสียชีวิตเด็ก 2 คน ทำให้มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศ

ศูนย์จีโนม เผย \'ไข้หวัดใหญ่\' ในไทยเสียชีวิต 2 - ไข้หวัดนก ในกัมพูชาเสียชีวิต 3

ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ. รามาธิบดี ในการตรวจตัวอย่างส่งตรวจของไวรัสติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2566 ประมาณ 600 ตัวอย่างพบ

• ไวรัสอินฟลูเอนซา A: 52.17% มากที่สุด

• Respiratory Syncytial Virus (RSV): 21.74% รองลงมา, ตามด้วย

• ไวรัสอินฟลูเอนซา B: 13.04%

• โควิด-19: 8.70% ที่เหลือเป็นเชื้อไวรัสอื่นๆ

การระบาดของไข้หวัดนกในกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2546 และมีการรายงานพบผู้ป่วยไข้หวัดนกตามมาเป็นระยะๆ จนถึงปี พ.ศ. 2557

ในปี พ.ศ. 2566, มีการรายงานการเสียชีวิตของประชาชนกัมพูชาจำนวน 3 รายจากไข้หวัดนก H5N1 เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี รายแรกผู้ตายเป็นเด็กหญิงวัย 11 ปี เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ รายที่สองเป็นชายวัย 50 ปี เมื่อ 7 ตุลาคม และรายที่ 3 เป็นเด็กหญิงอายุ 2 ปี เมื่อ 9 ตุลาคม 2566

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันว่า ไวรัสที่ทำให้คนติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในกัมพูชาเป็นไข้หวัดนกเฉพาะถิ่นที่เคยระบาดในประเทศ ไวรัสที่ตรวจพบจัดอยู่ในกลุ่ม 2.3.2.1c

ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเกิดความกังวลใจในสถานการณ์การรบาดของไข้หวัดนกในกัมพูชา เกรงว่าไวรัสอาจเกิดการกลายพันธุ์แพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนขึ้นได้ เนื่องจากการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกในมนุษย์หลังจากไม่พบผู้ติดเชื้อมากว่า 10 ปี

องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า การตรวจพบการติดเชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงอาจทำให้พบการติดเชื้อมาสู่คนเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ อันสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดไวรัสกลายพันธุ์เกิดการระบาดระหว่างคนสู่คนซึ่งอาจส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตจำนวนมากเหมือนไข้หวัดใหญ่สเปนในอดีต

ศูนย์จีโนม เผย \'ไข้หวัดใหญ่\' ในไทยเสียชีวิต 2 - ไข้หวัดนก ในกัมพูชาเสียชีวิต 3

  • การเตรียมพร้อมของประเทศไทย: พยายามลดการระบาดของไข้หวัดใหญ่

1. รณรงค์การฉีดวัคซีน: ได้จัดแคมเปญฉีดวัคซีนเร่งด่วนเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสและป้องกันประชากรกลุ่มเสี่ยงในเด็กและผู้สูงอายุ.

2. การส่งเสริมการใช้หน้ากากอนามัย: เน้นการใช้หน้ากากเพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัส, โดยเฉพาะในสถานศึกษาและชุมชน

3. สร้างความตระหนักรู้ในเรื่องไข้หวัดใหญ่ให้กับประชาชน

4. การรักษาทางการแพทย์ด้วยยาต้านไวรัส: ผู้ป่วยที่แสดงอาการติดเชื้อรีบพบแพทย์อย่างรวดเร็วและรับยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง

  • การเตรียมพร้อมของประเทศกัมพูชา: พยายามลดการระบาดของไข้หวัดนก (H5N1)

1. การจำกัดสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ: ไก่ที่ติดเชื้อถูกฆ่าเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส H5N1 เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถ่ายทอดไปยังมนุษย์

2. การวิจัยวัคซีน: กำลังตรวจสอบวัคซีนจำเพาะต่อเชื้อ H5N1 เช่น NIBRG-14 สำหรับการป้องกันไข้หวัดนกในมนุษย์

3. การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ: การทำงานร่วมกันกับองค์กรระหว่างประเทศเช่น CDC, WHO, และ สถาบันปาสเตอร์ในกัมพูชา (Institut Pasteur du Cambodge, IPC) ในการจัดการสถานการณ์ H5N1 และการพัฒนามาตรการป้องกัน

4. การเพิ่มการตระหนักรู้แก่ประชาชน: เพิ่มการตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงจากไข้หวัดนกและการส่งเสริมการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องด้านสุขภาวะเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากนกไปยังมนุษย์.

5. การตรวจและติดตามการระบาดของไวรัสอย่างรวดเร็ว: รายงานยืนยันการระบาดของไข้หวัดนกอย่างรวดเร็ว, ทำให้มีการตอบสนองและมาตรการควบคุมการระบาดได้อย่างเหมาะสม

  • ยารักษาผู้ติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา

องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ อเมริกา (US CDC) แนะนำ ยา ทามิฟลู (oseltamivir) ในการรักษาการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกในมนุษย์ทั้งสายพันธุ์ A และ B ลดการกลายพันธุ์และการแพร่กระจายของไวรัส, ลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค, ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ได้ดี แต่ยาต้านไวรัสจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อใช้ในระยะ 48 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อแสดงอาการ

ทามิฟลูเป็นยาต้านไวรัสที่ทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ที่เรียกว่า นิวรามินิเดส (neuraminidase) ซึ่งจำเป็นสำหรับไวรัสไข้หวัดในการแพร่กระจายในเซลล์ของผู้ติดเชื้อ

เริ่มพบเชื้อไวรัสดื้อต่อยาต้านไวรัส ทามิฟลูแล้วเช่นกัน ดังนั้นการใช้ยานี้ควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์

ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก “โอเซลทามิเวียร์” และ “ซานามิเวียร์” ที่ใช้ในการรักษาไวรัสไข้หวัดใหญ่ A และ B จะเข้าไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์นิวรามินิเดส ทำให้ไวรัสที่เกิดขึ้นมาไม่อาจแพร่ไปติดเซลล์ข้างเคียง

องค์การเภสัชกรรม (GPO) ของไทยได้ผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งสามารถใช้ในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ กรมการแพทย์กำลังเตรียมผลักดันยาฟาวิพิราเวียร์เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ เนื่องจากยานี้สามารถนำมาใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ได้ การผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมทำให้ราคายาถูกลงกว่าการนำเข้ายาจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยาฟาวิพิราเวียร์ มีข้อระวังในการใช้ เนื่องจากไวรัสปรับตัวเร็วมีหลายสายพันธุ์ที่เริ่มดื้อยา ถ้าใช้ยา "ฟาวิพิราเวียร์" อย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่มีข้อบ่งชี้อาจเกิดเชื้อดื้อยา

  • วัคซีนป้องกันไข้หวัดนก

วัคซีน NIBRG-14 พัฒนามาจากไวรัสลูกผสมสองสายพันธุ์ ไวรัส A/Vietnam/1194/2004 (H5N1) และไวรัส A/PR/8/34(H1N1) ตามคำเรียกร้องจากองค์การอนามัยโลกในปี 2004 เพื่อเตรียมความพร้อมของวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันการระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ที่เกิดการระบาดจากสัตว์สู่คน และอาจเกิดการระหว่างคนสู่คนในอนาคตอันใกล้

พบว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ชนิดใหม่ (NIBRG-14 ) สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีและมีความปลอดภัยในการฉีดในกลุ่มคนอายุมากกว่า 18 ปี แต่ยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้วัคซีนนี้ในประชาชนทั่วไป เพราะยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม

  • วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

สำหรับประเทศไทย, วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญมากในปีนี้ มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดสองประเภท คือวัคซีนที่ป้องกันไวรัสสามสายพันธุ์ และวัคซีนที่ป้องกันไวรัสสี่สายพันธุ์

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วยเชื้อไวรัสชนิดสายพันธุ์ A 2 สายพันธุ์ และสายพันธุ์ B 1 สายพันธุ์

ส่วนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ประกอบด้วยเชื้อไวรัสชนิดสายพันธุ์ A 2 สายพันธุ์ และสายพันธุ์ B 2 สายพันธุ์

ในประเทศไทยการระบาดของไข้หวัดใหญ่มี 4 สายพันธุ์ที่หมุนเวียนกลับมาเป็นระลอกทุกปี ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์จึงเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่มีราคาสูงกว่า ส่วนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ก็ยังสามารถให้ความป้องกันได้ต่อสายพันธุ์ที่ระบาดมากที่สุด 3 สายพันธุ์แรก

ทั้งนี้การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทั้งสองชนิดนี้ จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้

เชื้อไข้หวัดใหญ่ “ภูเก็ต” และ “กรุงเทพฯ” เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เฉพาะที่ถูกค้นพบในภูมิภาคนี้เป็นครั้งแรก เชื้อ B/Phuket/3073/2013 เป็นเชื้อไข้หวัดชนิด B ที่เป็นส่วนหนึ่งของสายพันธุ์ Yamagata องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังแนะนำให้รวมเชื้อนี้อยู่ในวัคซีนที่ใช้ป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ในเขตซีกโลกเหนือในปี 2023-2024

WHO ได้แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องรวมเอนทิเจนของสาย B/Yamagata ในวัคซีนไข้หวัด 4 สายพันธุ์เนื่องจากความเสี่ยงทางสาธารณสุขจากเชื้อไข้หวัดสาย B/Yamagata ลดลง

เชื้อไข้หวัดใหญ่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเชื้อชนิดใหม่ ดังนั้น เชื้อที่รวมอยู่ในวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงได้รับการปรับปรุงทุกปีตามข้อมูลการสำรวจระดับโลกและการทำนายเกี่ยวกับเชื้อที่จะมีอยู่มากที่สุดในฤดูไข้หวัดที่จะมาถึง

  • วัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ใช้ป้องกันไวรัสไข้หวัดนกไม่ได้

วัคซีนไข้หวัดฤดูกาลเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดในมนุษย์เฉพาะชนิด (เช่น H1N1, H3N2, และ B/Victoria lineage) ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดในนกชนิด H5N1 ส่วนหนามของไวรัสไข้หวัดนกมีความแตกต่างอย่างมากจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จึงจำเป็นต้องพัฒนาวัคซีนที่แยกกัน

  • วิธีการทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการระบุสายพันธุ์ย่อยของไข้หวัด

1. การทดสอบวินิจฉัยไวรัสไข้หวัดอย่างรวดเร็วด้วยชุดตรวจ ATK: เป็นการตรวจจับแอนติเจนของไวรัสสายพันธุ์ A และ B ในเวลารวดเร็ว 10-15 นาทีด้วยความแม่นยำปานกลาง อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจไม่ให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยของไวรัสไข้หวัดใหญ่

2. การทดสอบทางอณูชีววิทยา: เช่น RT-PCR และการทดสอบกรดนิวคลิอิกอื่น ๆ การทดสอบเหล่านี้สามารถระบุการมีอยู่ของอาร์เอ็นเอไวรัสไข้หวัดด้วยความไวและความจำเฉพาะที่สูง ตรวจแยกสายพันธุ์หลักและสายพันธุ์ย่อยได้ เช่น H1N1, H3N2 และ H5N1 ภายในไม่กี่ชั่วโมง

3. การเพาะเชื้อไวรัส: สิ่งนี้สำคัญสำหรับวัตถุประสงค์ทางสาธารณสุข แต่ไม่ให้ผลลัพธ์ที่ทันเวลาเพื่อแจ้งการจัดการทางคลินิก การเก็บตัวอย่างทางเดินหายใจบางส่วนสำหรับการเพาะเชื้อไวรัสเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสำรวจและการระบุลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์ย่อยของไวรัสไข้หวัด A และ B ใหม่ในฤดูกาล

4. การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสไข้หวัดอย่างต่อเนื่องและแชร์ไว้บนฐานข้อมูลไวรัสอินฟลูเอนซา The Global Initiative on Sharing All Influenza Data หรือ “จีเสส (GISAID)” เพื่อให้ทั่วโลกนำข้อมูลไปใช้เตรียมพร้อมในการควบคุมการระบาด พัฒนาวัคซีนในการป้องกัน และพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อการรักษา

หมายเหตุ

"H" และ "N" เป็นตัวอักษรที่ใช้เพื่อแสดงถึงไกลโคโปรตีนบนบริเวณเปลือกนอกของอนุภาคไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก ได้แก่ ฮีแมกกลูตินิน/hemagglutinin (H) และ นิวรามินิเดส/neuraminidase ซึ่งไวรัสใช้จับกับเซลล์ของสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงมนุษย์ ส่งผลต่อการติดเชื้อและความรุนแรงของไวรัสในการก่อโรค อีกทั้งเป็นเป้าหมายสำคัญในการผลิตวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันประเภทแอนติบอดีเข้าจับอนุภาคไวรัสและทำลาย

ฮีแมกกลูตินิน (H) มีหน้าที่จับกับเซลล์เจ้าบ้านและอำนวยความสะดวกในการนำไวรัสเข้าสู่เซลล์ มี ฮีแมกกลูตินิน ที่แตกต่างกัน 18 ชนิดซึ่งกำหนดให้เป็น H1 ถึง H18 พบในไวรัสไข้หวัดใหญ่ประเภทต่างๆ

นิวรามินิเดส เป็นเอนไซม์ที่ตัดฮีแมกกลูตินินออกจากตัวรับที่ผิวเซลล์ของโฮสต์ ทำให้สามารถปล่อยอนุภาคไวรัส (virion) ที่เกิดขึ้นใหม่จากเซลล์ให้สามารถแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นๆในร่างกายผู้ติดเชื้อ มีนิวรามินิเดสที่แตกต่างกัน 11 ชนิดซึ่งกำหนดให้เป็น N1 ถึง N11 ซึ่งพบในไวรัสไข้หวัดใหญ่ประเภทต่างๆ